กรณีโซเชียลมีเดีย เผยแพร่สำเนาเอกสารประกาศราชกิจจานุเบกษา เล่ม 131 ตอนพิเศษ 245 ง ลงวันที่ 3 ธันวาคม 2557 ระบุชื่อบุคคลลำดับที่ 35 นายหาวเจ๋อ ตู้ เอกสารหนังสือสำคัญการแปลงสัญชาติเป็นไทย ลงวันที่ 26 มกราคม 2558 ของ นายหาวเจ๋อ ตู้ และปรากฏข้อความระบุว่า “อนุพงษ์ เผ่าจินดา คือ ผู้ที่ให้สัญชาติไทยแก่ตู้ห่าว”
นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ชี้แจงว่า นายตู้ห่าว เป็นบุคคลสัญชาติจีน มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านในพื้นที่แขวงหัวหมาก เขตบางกะปิ กรุงเทพมหานคร ยื่นขอแปลงสัญชาติเป็นไทย เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2554 ซึ่งเป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยสัญชาติ กรณีเป็นสามีของบุคคลสัญชาติไทย กองบัญชาการตำรวจสันติบาล สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ส่งเรื่องให้กระทรวงมหาดไทยพิจารณา กระทรวงมหาดไทยได้ทำการตรวจสอบความถูกต้องของเอกสารหลักฐานและคุณสมบัติของผู้ยื่นคำขอฯ และนำเสนอเข้าที่ประชุมคณะอนุกรรมการกลั่นกรองการขอแปลงสัญชาติเป็นไทย การขอถือสัญชาติไทยตามสามี และการขอกลับคืนสัญชาติไทย ในการประชุมครั้งที่ 2/2556 เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2556 ได้นำเสนอเข้าที่ประชุมคณะกรรมการกลั่นกรองเกี่ยวกับสัญชาติ ในการประชุมครั้งที่ 3/2556 เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2556
ต่อมา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยในขณะนั้น ได้ใช้ดุลพินิจตามกฎหมายว่าด้วยสัญชาติ พิจารณาอนุญาตให้แปลงสัญชาติเป็นไทยได้ แล้วแจ้งสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเพื่อนำความกราบบังคมทูลขอพระราชทานพระบรมราชานุญาต ทำพิธีปฏิญาณตน และประกาศในราชกิจจานุเบกษา
นายสุทธิพงษ์ กล่าวว่า ในการประชุมคณะกรรมการกลั่นกรองเกี่ยวกับสัญชาติครั้งดังกล่าว มีมติเห็นควรเสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยใช้ดุลพินิจอนุญาตให้คนต่างด้าวแปลงสัญชาติเป็นไทยได้ จำนวน 12 ราย เพราะเป็นผู้มีคุณสมบัติครบถ้วนของการได้สัญชาติไทยตามที่กฎหมายกำหนด และนายหาวเจ๋อ ตู้ เป็นสามีของผู้มีสัญชาติไทย ซึ่งการพิจารณาฯ ไม่ได้เลือกปฏิบัติ
ส่วนขั้นตอนการลงนามในประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การได้สัญชาติไทย ลงวันที่ 6 พฤศจิกายน 2557 ซึ่งประกาศราชกิจจานุเบกษา เล่ม 131 ตอนพิเศษ 245 ง ลงวันที่ 3 ธันวาคม 2557 ซึ่งปรากฏชื่อ พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นผู้ลงนามในประกาศกระทรวงมหาดไทยฉบับดังกล่าวนั้น เป็นเพียงขั้นตอนสุดท้ายในการปฏิบัติให้ครบถ้วนตามกฎหมายว่าด้วยสัญชาติ พลเอกอนุพงษ์ จึงไม่ใช่ผู้ใช้ดุลพินิจอนุญาตให้นายหาวเจ๋อ ตู้ แปลงสัญชาติเป็นไทยได้