นายสงกรานต์ ภักดีจิตร ตัวแทนภาคีชาวไร่ยาสูบแห่งประเทศไทย และนายกสมาคมชาวไร่ยาสูบเบอร์เลย์จังหวัดเพชรบูรณ์เผยหลังทราบข่าวการยาสูบแห่งประเทศไทย (ยสท.) เปิดเผยว่า กำลังหารือกับกระทรวงการคลังเพื่อทบทวนอัตราภาษีใหม่ที่เหมาะสมกับทั้งชาวไร่ ยสท. รายได้รัฐ และไม่สร้างปัญหาบุหรี่เถื่อน
ทั้งนี้ ชาวไร่ยาสูบไม่ต้องการให้มีการขึ้นภาษีบุหรี่อีก เพราะตั้งแต่ปี 2560 ที่มีการปรับขึ้นอัตราภาษีสรรพสามิตมา 2 ครั้ง และยังมีการเก็บภาษีมหาดไทยเพิ่มอีก 10% ทำให้โควตาขายใบยาสูบของลดลงประมาณ 50% ติดต่อกันมา 5 ปี
และคงไม่มีโอกาสได้โควตาคืนอีกแล้ว อีกทั้งปีนี้ยังโชคร้ายซ้ำเติม เพราะค่าปัจจัยการผลิต เช่น ปุ๋ย น้ำมัน ค่าแรง สูงขึ้นอีกเกือบ 60% ทำให้ต้นทุนการทำไร่ยาสูบเพิ่มขึ้น ยิ่งมีโควตาน้อย ยิ่งเสี่ยงต่อการขาดทุน ขายใบยาได้ไม่พอกับต้นทุน
อย่างไรก็ดี ได้ดำเนินการทำหนังสือร้องขอไปยัง ยสท. ให้ช่วยค่าปัจจัยการผลิตเต็มจำนวน แต่ ยสท. จะช่วยแค่ครึ่งเดียวเท่านั้น แล้วจะไปของบกลางจากรัฐบาลมาช่วยอีกครึ่งหนึ่ง เพราะ ยสท. ผลประกอบการไม่ดีติดต่อกันมาหลายปีทำให้ไม่มีเงินมาดูแลช่วยเหลือชาวไร่ หากมีการแก้ไขโครงสร้างภาษีบุหรี่ใหม่ รัฐบาลก็ไม่จำเป็นต้องขึ้นภาษี ส่วน ยสท. ก็จะได้ตั้งราคาบุหรี่ใหม่ให้มีกำไรต่อซองมากขึ้นได้
“ต้องการให้กรมสรรพสามิต กระทรวงการคลัง และ ยสท. รีบสรุปเรื่องโครงสร้างภาษีใหม่ให้เสร็จสิ้นภายในเดือนธันวาคม 2565 นี้ เพื่อเป็นของขวัญปีใหม่กับชาวไร่ยาสูบกว่า 30,000 ครอบครัวทั่วประเทศ เพราะชาวไร่จะเริ่มขายใบยาของฤดูกาล 2565/2566 กันแล้ว แต่ยังไม่รู้เลยว่าจะได้เงินช่วยเหลือค่าปัจจัยการผลิตครบตามที่ขอไปหรือไม่ และเงินชดเชยโควตาก็เพิ่งได้รับเพียง 2 ปี ถ้าหากมีการเลือกตั้งใหม่เกิดขึ้นชาวไร่คงต้องรอไปอีกหลายเดือน จึงต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลงก่อนการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นนี้”
รายงานข่าวระบุว่า ตั้งแต่การขึ้นภาษีสรรพสามิตยาสูบปี 2560 ทำให้อุตสาหกรรมยาสูบหดตัวลงอย่างมาก รัฐบาลเก็บรายได้ภาษียาสูบได้ลดลงอย่างต่อเนื่องจากปี 2560 ที่เก็บได้ 6.8 หมื่นล้านบาท เหลือเพียง 5.9 หมื่นล้านบาทในปี 2565 ขณะที่กำไรของ ยสท. ก็ลดลงกว่า 98% โดยในปี 2560 มีกำไร 9 พันล้านบาท ลดลงเหลือเพียง 100 ล้านบาทในปี 2565