นาย นันทน อินทนนท์ นักกฎหมาย หุ้นส่วน สำนักงานกฎหมายระดับโลก ตีเลกี & กิบบินส์ เปิดเผยผ่านเฟสบุ๊ก “นันทน อินทนนท์” เกี่ยวกับปัญหาความวุ่นวายในการถ่ายทอดฟุตบอลโลกของไทย ซึ่งล่าสุด กสทช.มีมติให้เรียกเงินจำนวน 600 ล้านบาทคืนจากการกีฬาแห่งประเทศไทย หรือ กกท. เนื่องจากเห็นว่า กกท.ไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงเอ็มโอยู โดยอ้างทำผิดกฎ Must Carry เนื่องจากโทรทัศน์ระบบบอกรับสมาชิกไอพีทีวีไม่สามารถรับชมได้
โดย นพ.สรณ บุญใบชัยพฤกษ์ ประธานบอร์ด กสทช. ได้เสนอทางแก้ปัญหาด้วยการขอให้ กกท.ยกเลิกเอ็มโอยูกับเอกชนและเปิดให้ไอพีทีวีถ่ายทอดการแข่งขันบอลโลก หรืออีกทางเลือกหรือคืนเงิน 600 ล้านบาท เพื่อที่จะได้ไม่ต้องต่อสู้กันในศาลปกครองฯ ในการนี้ นายนันทน ได้แสดงความเห็นบนเฟสบุ๊คของตนเองโดยระบุว่า “ไม่ค่อยอยากแสดงความคิดเห็นเรื่องข้อพิพาทระหว่างกสทช. กับ กกท. เลย
เพราะจริง ๆ แล้วแค่เปิดดูภาคผนวกแนบท้าย MOU ก็รู้แล้วว่าอะไรเป็นอะไร การร่าง MOU และภาคผนวกของ กสทช. ควรต้องมีความละเอียดรอบคอบ ประโยชน์ก็จะตกแก่ประชาชน แต่ท่าน กสทช. มาชักจูงให้ กกท เลิกสัญญา นี่ก็ไม่ถูกต้องนะครับ นักกฎหมายเรียกว่า “การละเมิดโดยการชักจูงให้มีการผิดสัญญา” (Tort of Inducement of Breach of Contract) อย่าหาทำเลย”
ด้านนักวิชาการด้านการตลาด วิเคราะห์ต่อไปว่า การฟ้องร้องระหว่างภาครัฐ มีให้เห็นไม่บ่อยนัก ซึ่งมหกรรมฟุตบอลโลกใกล้จะจบ แต่ปัญหาค่าลิขสิทธิ์ถ่ายทอดยังไม่จบ ซึ่งหากย้อนไปก่อนฟุตบอลโลกจะเริ่มขึ้น 2 สัปดาห์ ปัญหาของประเทศไทยคือ คนไทยมีโอกาสไม่ได้รับชมฟุตบอลโลก โดย กสทช. ถูกตั้งคำถามมากมาย ในฐานะผู้ออกกฎ Must Have, Must Carry ซึ่งเป็นกฎการซื้อคอนเทนต์กีฬาระดับโลกมาแจกฟรีให้คนไทยดู
แต่ปัญหาคือไม่มีเจ้าภาพลงทุนซื้อลิขสิทธิ์เพื่อมาแจกจ่ายให้ดูฟรี ทำให้เผือกร้อนไปอยู่ที่การกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) ซึ่งเป็นเหมือนฮีโร่ที่ใช้เวลาเพียงสองสัปดาห์ ทำให้คนไทยได้ดูการแข่งขันฟุตบอลโลก ทั้งนี้เมื่อ กสทช.ออกมาแจ้งว่า จะฟ้อง กกท. ผิดกฎ Must Carry เพราะกสทช.ต้องการให้ กล่อง IPTV ถ่ายทอดฟรีไปด้วย ทำให้เดือดร้อนไปถึงฟีฟ่า
ที่ออกมาเตือนเรื่องการละเมิดลิขสิทธิ์ ทำให้คำถามย้อนกลับไปถาม กสทช. ต้นตอปัญหาการออกกฎ Must have, must carry ว่า การอนุมัติจ่ายแค่ 600 ล้านบาท จากราคาลิขสิทธิ์ 1,600 ล้านบาทนั้น เงินที่เหลือจะหาใครมาจ่ายให้คนดูฟรี ในความเป็นจริง ในเวลาจำกัด ไม่สามารถทำได้ และ กสทช. ไม่ได้เสนอทางออกให้กับ กกท.และไม่เข้าใจการทำธุรกิจ ซึ่งผู้ลงทุนก็ย่อมต้องการผลตอบแทนจากการลงทุน แต่กสทช.กลับยึดกฎ Must carry อยู่เหนือกฎหมายลิขสิทธิ์ที่ใช้กันทั่วโลก
“กสทช. มีวิธีคิดที่เป็นมายาคติ ออกกฎ must carry ให้คนไทยทุกคนได้ดูกีฬาระดับโลกในทุกแพลตฟอร์มฟรี โดยหวังว่าจะมีคนโง่ไปซื้อมาแจก เหมือนไม่ได้เรียนวิชาการตลาด 101 ว่า การลงทุนจะต้องมองถึงผลตอบแทนที่คุ้มทุน ด้วยตรรกกะวิบัติ ทำให้หาคนมาประมูลรายการฟุตบอลโลกไม่ได้ ในขณะที่ทั่วโลกเค้าได้ลิขสิทธิ์ไปในราคาถูก เวียดนาม ถือลิขสิทธิ์โดยสถานีโทรทัศน์และวิทยุแห่งชาติเวียดนาม มูลค่า 532 ล้านบาท มาเลเซีย ซื้อลิขสิทธิ์มูลค่า 261.50 ล้านบาท และ สิงคโปร์ StarHub, Singtel และ Media corp ซื้อลิขสิทธิ์มูลค่า 948 ล้านบาท ทำให้ประเทศไทยล้าหลังมาจนกระทั่งจะถ่ายทอดฟุตบอลโลก แต่ยังหาคนมาประมูลไม่ได้ ร้อนถึง กกท. ที่ต้องหาเงินมาจ่ายสูงถึง 1,600 ล้านบาท แถมยังมาถูก กสทช. ตลบหลัง เอาดีเข้าตัว ปล่อยให้ กกท. รับบทหนักไปคนเดียว” อีกมุมหนึ่งที่สะท้อนเรื่องราวต่อปัญหาการถ่ายทอดบอลโลก พร้อมสรุปให้เห็นถึง 3 ต้นตอแห่งปัญหา