จีนเปิดประเทศ 8 ม.ค. 2566 หลายฝ่ายคาดว่าจะช่วยฟื้นภาคท่องเที่ยวไทย ดันชาวต่างชาติทะลุ 20 ล้านคน สัญญาณที่เห็นชัดเจนคือหลังจากประกาศ มีรายงานว่าชาวจีนแห่จองตั๋วเครื่องบินและโปรแกรมทัวร์ เพื่อเดินทางไปท่องเที่ยวต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศไทย ถือเป็นหมุดหมายปลายทางของชาวจีนอันดับต้นๆ
รัฐบาล โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ระบุว่ามาตรการรับมือนักท่องเที่ยวจีน ที่จะเปิดประเทศในวันที่ 8 มกราคม 2566 ว่า ต้องเตรียมมาตรการเอาไว้ และต้องดูว่าทำอย่างไรไม่ให้เกิดผลกระทบ ทั้งสาธารณสุข และทีมแทพย์
ยืนยันอีกเสียงจากกระทรวงสาธารณสุขไทย โดย นายอนุทิน ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงแผนรับมือนักท่องเที่ยวจีน ว่า คงไม่นำมาตรการป้องกันโควิดที่เข้มงวดมาใช้ เพราะจากการประชุมของคณะนักวิชาการทางการแพทย์ เห็นว่า ไม่จำเป็นต้องตรวจหาเชื้อโควิดก่อนเข้าประเทศ เพราะเชื้อเหมือนกัน แต่จะมีมาตรการดูแลความพร้อม คนที่จะเดินทางเข้ามาในประเทศไทย ต้องมีประกันสุขภาพ เป็นต้น
โดยในวันที่ 5 มกราคม 2566 นี้ จะหารือร่วมกับ กระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงคมนาคม เพื่อเตรียมความพร้อมรับนักท่องเที่ยวจีน คาดการณ์ว่า ในเดือนมกราคมกุม-ภาพันธ์ จะมีนักท่องเที่ยวจีนทยอยเข้ามา ประมาณ 40,000-50,000 คน ยังไม่ได้อนุญาตให้มาเป็นคณะใหญ่
ดูเหมือนว่าจะเป็นเป็นสัญญาณที่ดีต่อภาคธุรกิจท่องเที่ยว และเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศที่นักท่องเที่ยวจีนจะกลับมาไทยอีกครั้ง เหมือนก่อนช่วงโควิดระบาด แต่ก็มีสิ่งที่น่าจับตาอยู่เช่นกัน
คริสตาลินา จอร์เจียวา กรรมการผู้จัดการกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) เปิดเผยในรายการ ‘Face the Nation’ ช่อง CBS ว่า ปี 2023 เป็นปีที่ลำบากมากกว่าปีที่ผ่านมา เพราะ 3 กลุ่มประเทศเศรษฐกิจใหญ่อย่าง สหรัฐฯ สหภาพยุโรป และจีน ต่างก็ชะลอตัวพร้อมกัน โดยเฉพาะการที่จีนเริ่มยกเลิกนโยบายโควิดเป็นศูนย์ และเปิดเศรษฐกิจ
โดยจอร์เจียวาบอกว่า ปี 2022 เป็นครั้งแรกในรอบ 40 ปี ที่การเติบโตของจีน จะเท่ากับหรือต่ำกว่าการเติบโตของ GDP ทั่วโลก ยิ่งไปกว่านั้น การเเพร่ระบาดของโควิดที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า มีแนวโน้มที่จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในปีนี้ และฉุดการเติบโตทั้งในภูมิภาคและโลก
ขณะที่องค์การอนามัยโลกเรียกร้อง ให้ทางการจีน เปิดเผยข้อมูลการระบาดของโควิดในประเทศ ก่อนจะเปิดประเทศ 8 ม.ค. แบบเรียลไทม์ที่ถูกต้อง เพราะปัจจุบันจีนเปิดเผยข้อมูลสถานการณ์จริงออกมาน้อยมาก ทำให้ประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกมีข้อมูลไม่เพียงพอ จึงเกิดความกลัวและพากันประกาศใช้มาตรการบังคับตรวจโควิด-19 และจำกัดการเดินทางนักท่องเที่ยวจีน
เช่น สหรัฐอเมริกาและไต้หวัน กำหนดให้นักท่องเที่ยวจากจีนต้องแสดงผลตรวจโควิด-19 เป็นลบ ก่อนได้รับอนุญาตให้เดินทางเข้าเมือง ญี่ปุ่น ที่ประกาศว่า นักท่องเที่ยวจากจีน หรือใครที่เดินทางมาจากจีนภายในระยะเวลา 7 วันก่อนหน้านั้น จะต้องได้รับการตรวจคัดกรองที่สนามบิน หากพบว่าผลตรวจเป็นบวกจำเป็นต้องกักตัวเป็นเวลา 7 วัน ในกรณีพบว่ามีอาการป่วย หรือหากไม่มีอาการต้องกักตัว 5 วัน ทางการญี่ปุ่นยังคงเข้มงวดในส่วนจำนวนเที่ยวบินจากจีน
ก่อนหน้านี้ KKP Research เคยประเมินการว่า หากจีนสามารถเปิดเมืองได้เต็มที่จะส่งผลกระทบอย่างมากต่อเศรษฐกิจ การเปิดเมืองจะล่าช้าในช่วงแรก เนื่องจาก อัตราการฉีดวัคซีนที่ต่ำจะยังกดดันระบบสาธารณสุขจีน อาจทำให้จำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นในระดับที่ระบบสาธารณสุขรับไม่ไหว
เงินเฟ้อที่จะสูงขึ้นเร็วอาจเพิ่มแรงกดดันในการทำนโยบายภาครัฐ
การเปิดเมืองจะทำให้อัตราเงินเฟ้อที่ในปัจจุบันอยู่ที่ 2% มีความเสี่ยงเร่งตัวสูงขึ้นได้มาก มีสาเหตุจากอุปสงค์ที่อั้นมานานในช่วงที่มีการล็อคดาวน์ กลับมาขยายตัวอย่างรวดเร็ว ขณะที่ปัจจัยการผลิต (เช่น แรงงานในภาคบริการหรือโรงงานที่ถูกปิดตัวไป) ไม่สามารถกลับมาได้เร็วเท่าแรงกดดันเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นขึ้นอาจกดดันให้ธนาคารกลางจีนต้องขึ้นอัตราเบี้ยและถอนสภาพคล่องออกจากระบบ แต่ก็จะเพิ่มความเสี่ยงการผิดนัดชำระหนี้ของบริษัทอสังหาฯ โดยจะทำให้การเข้าถึงสภาพคล่องของบริษัทอสังหาฯ จีนทำได้ยากขึ้น ดังนั้นการผ่อนคลายมาตรการควบคุมการระบาดจึงมีแนวโน้มค่อยเป็นค่อยไปโดยจีนจะมีนโยบายสนับสนุนการขยายตัวของอุปทานไปด้วยเพื่อลดแรงกดดันต่อเงินเฟ้อ
การฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนเผชิญกับหลายอุปสรรคในระยะสั้น
ภาคการบริโภคของจีนจะหดตัวในระยะสั้นแม้ว่าจีนจะเริ่มคลายมาตรการโควิดแล้วก็ตาม เนื่องจากจำนวนผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตที่เพิ่มขึ้นจะบั่นทอนความมั่นใจของผู้บริโภคในขณะที่ภาคอสังหาริมทรัพย์ในจีนกำลังชะลอตัว ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจจีนยังไม่สามารถฟื้นตัวได้ในครึ่งแรกของปี 2023
ราคาพลังงานโลกอาจพุ่งสูงขึ้นเมื่อจีนเปิดเมือง
ราคาพลังงานและสินค้าโภคภัณฑ์จะเพิ่มสูงขึ้น แม้ว่าราคาน้ำมันดิบจะปรับลดลงในช่วงที่ผ่านมาจากจุดสูงสุดแต่ราคายังค้างอยู่ในระดับที่สูงกว่าก่อนการระบาดโดยที่จีนยังไม่ได้เปิดเมืองด้วยซ้ำ วิกฤตราคาพลังงานสูงจากการตัดขาดอุปทานพลังงานจากรัสเซียที่ยังไม่สิ้นสุด การเปิดประเทศของจีนจะทำให้เกิดการนำเข้าน้ำมันในปริมาณที่เพิ่มขึ้นมากและจะเป็นปัจจัยที่ทำให้ราคาน้ำมันดิบมีความเสี่ยงที่จะพุ่งสูงขึ้นอีกได้ในปีหน้า
ส่งออกของประเทศแถบเอเชียอาจยังชะลออยู่แม้ว่าเศรษฐกิจจีนจะฟื้นตัว
หากจีนสามารถเปิดเศรษฐกิจได้เต็มที่จริงจะเป็นปัจจัยบวกต่อการเติบโตของเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะภาคการส่งออกโลกในแถบเอเชียที่มีการส่งออกสินค้าไปจีนติดลบในช่วงที่ผ่านมา โดยประเทศที่คาดว่าจะได้ประโยชน์คือ 1) ประเทศที่เป็นผู้ส่งออกสินค้าโภคภัณฑ์ได้แก่ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ออสเตรเลีย 2) ประเทศที่มีการพึ่งพาภาคการบริโภคในจีนสูงได้แก่ ฮ่องกง 3) ประเทศที่มีสัดส่วนนักท่องเที่ยวจีนสูงได้แก่ ไทย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้
อย่างไรก็ตาม การที่อุปสงค์ในจีนกลับมาฟื้นตัวดีอีกครั้งไม่ได้แปลว่าภาคการส่งออกของไทยและประเทศอื่นๆจะขยายตัวได้ดีในช่วงปีหน้า เพราะในขณะที่จีนกำลังจะฟื้นตัว เศรษฐกิจโลกกำลังชะลอตัวและอาจจะเข้าสู่ภาวะถดถอย โดยการส่งออกโดยรวมยังมีแนวโน้มชะลอตัวเนื่องจากอุปสงค์ที่มาจากเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยุโรปและสหราชอาณาจักรมีสัดส่วนรวมกันมากกว่าอุปสงค์ที่มาจากจีน
ความผันผวนที่จะสูงขึ้นในปี 2023
เศรษฐกิจจีนหลังโควิดคือความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจไทยในระยะยาว
เศรษฐกิจจีนอาจไม่กลับไปเติบโตแบบในอดีตจากความท้าท้ายหลายประการ ได้แก่
1) จำนวนประชากรโดยรวมและประชากรวัยทำงานที่กำลังหดตัว
2) ปริมาณหนี้ขนาดใหญ่ที่สะสมมาอย่างต่อเนื่องในภาคธุรกิจและภาคครัวเรือน
3) ความเหลื่อมล้ำทางรายได้และการผูกขาดทางเศรษฐกิจ ปัจจัยเหล่านี้ทำให้เศรษฐกิจจีนมีแนวโน้มชะลอตัวลงในระยะยาวแม้ว่าในระยะสั้นอาจฟื้นตัวได้ดีหลังการเปิดเมือง ประเด็นที่สำคัญคือ หากเศรษฐกิจจีนไม่กลับไปเติบโตเหมือนในช่วงก่อนโควิด-19 ผลกระทบสืบเนื่องที่อาจเกิดขึ้นต่อเศรษฐกิจไทย
อ่านบทวิเคราะห์ฉบับเต็ม คลิก