นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) ในกรุงเทพมหานคร ครั้งที่ 1/2566 ว่า การประชุมในครั้งนี้เป็นการติดตามความคืบหน้าตามแผนวาระแห่งชาติ คาดว่าภายในวันที่ 5 ก.พ. 66 สถานการณ์ฝุ่น PM2.5 จะดีขึ้น เนื่องจากได้รับรายงานจากกรมฝนหลวงและการบินเกษตรว่าได้มีการทำฝนหลวงใน จ.ระยอง อาจจะส่งผลให้มีฝนตกในกรุงเทพฯ พื้นที่เขตลาดกระบัง ประเวศ บางนา ซึ่งอาจจะช่วยบรรเทาสถานการณ์ฝุ่นให้ดีขึ้น
ทั้งนี้ยังคาดการณ์ว่าฝนตกและความชื้นที่เพิ่มขึ้นจะช่วยบรรเทาความรุนแรงของฝุ่นลงได้ ด้านกองทัพภาคที่ 1 มีการฉีดละอองน้ำตามจุดต่าง ๆ ส่วนสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม(สมอ.) ได้ร่างระเบียบการออกรถยนต์ใหม่โดยใช้มาตรฐาน ยูโร 5 ซึ่งปล่อยไอเสียน้อยกว่าเดิม 10 เท่า
ขณะที่กรมธุรกิจพลังงานได้ปรับเปลี่ยนน้ำมันรองรับเครื่องยนต์ใหม่อีกด้วย นอกจากนี้ กรมสรรพสามิต ซึ่งสามารถคิดภาษีในการออกรถ เช่น รถที่ปล่อยมลพิษน้อยคิดภาษีน้อย รถที่ปล่อยมลพิษเยอะคิดภาษีเยอะ ในอนาคตอาจจะออกข้อบัญญัติเก็บภาษีกับรถที่ปล่อยมลพิษเยอะในรายปี
นายชัชชาติ กล่าวต่อว่า กทม.ได้เน้นย้ำการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ในการลดฝุ่น PM2.5 โดยทำความสะอาดในไซต์ก่อสร้าง คืนพื้นผิวการจราจรในเส้นทางการสร้างรถไฟฟ้าที่แล้วเสร็จเพื่อลดปัญหาการจราจร
ส่วนสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) ให้เร่งทบทวนแผนแม่บทการย้ายท่าเรือคลองเตยไปท่าเรือแหลมฉบัง จ.ชลบุรี ซึ่งจะช่วยลดจำนวนรถบรรทุกกว่า 2 ล้านเที่ยวต่อปีในท่าเรือคลองเตย วึ่งจะช่วยลดปัญหาฝุ่น PM2.5 ในกรุงเทพฯ ได้
ด้านองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ที่มีรถกว่า 2,000 คัน โดยปัจจุบันยังใช้น้ำมันดีเซลบางส่วน เบื้องต้นกทม.ได้ขอความร่วมมือเปลี่ยนเป็นรถไฟฟ้าทั้งหมด
นายชัชชาติ กล่าวต่อว่า การฉีดพ่นน้ำลดฝุ่นละอองนั้น ถือเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ เนื่องจากฝุ่นมีปริมาณมาก จะได้ผลบ้างก็ต่อเมื่อฉีดพ่นน้ำอยู่กับที่ เช่น อาคาร โรงเรียน และต้องใช้น้ำสะอาดเมื่อฉีดพ่นในที่มีคนสัญจรหรือชุมชน ซึ่งได้ประสานเรื่องน้ำกับการประปาบ้างแล้ว
“อยากให้ประชาชนได้ทราบถึงสถานการณ์และกำจัดต้นตอฝุ่นให้ได้มากที่สุด เช่น Work from Home ที่ทำให้ปัญหาการจราจรลดน้อยลงปริมาณฝุ่นก็จะน้อยลงตามด้วย โดยในตอนนี้ฝุ่นไม่ได้หนักแค่เพียงในกรุงเทพฯ เท่านั้น แต่หนักตั้งแต่ภาคกลางถึงภาคเหนือ ส่วนหนึ่งคาดว่าสาเหตุเกิดจากการเผาชีวมวล”
นอกจากนี้กรมอนามัยได้แนะนำให้เด็กในชุมชนที่ยังขาดความรู้เรื่องฝุ่น ซึ่งส่งผลต่อระบบหัวใจในระยะยาว จึงต้องเพิ่มการทำพื้นที่ปลอดภัยในชุมชนและโรงเรียน เช่น ห้องเรียนปลอดฝุ่น ซึ่งจะต้องทำให้มากขึ้นโดยใช้งบกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
สำหรับตัวเลขผู้ป่วยทางเดินหายใจจากสำนักอนามัย กทม. พบว่าเพิ่มขึ้นวันละ 25 คน มีอาการระคายเคืองตา เกิดโรคผิวหนัง โรคทางเดินหายใจ เป็นต้น ซึ่งหน้ากากอนามัยเป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่สามารถป้องกันฝุ่น PM2.5 ได้ โดยฝุ่นในกรุงเทพฯ จากรถยนต์ทำให้เกิดฝุ่นในสภาวะอากาศเปิด 30 มคก./ลบ.ม. ในสภาพอากาศปิดจะเพิ่มเป็น 60 มคก./ลบ.ม. ยิ่งมีการเผาชีวมวลก็จะเพิ่มปริมาณฝุ่นขึ้นอีก เป็น 90 มคก./ลบ.ม.
อย่างไรก็ตามกทม.ขอความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งในการแก้ไขระยะยาวจะมีการปรับมาตรฐานรถให้มีคุณภาพดีขึ้น เพิ่มมาตรการดูแลแก้ไขปัญหารถเก่าที่ก่อมลพิษ ส่งเสริมให้ประชาชนมาใช้บริการขนส่งมวลชนเพิ่มมากขึ้น ซึ่งเป็นแนวป้องกันฝุ่นได้ในอนาคต