6 พฤษภาคม 2566 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตำรวจสอบสวนกลาง โดยกองบังคับการปราบปราม พร้อมด้วยรักษาการผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ร่วมกันแถลงข่าวจับกุม "พระหมอ" เจ้าอาวาสวัดป่าธรรมคีรี อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา และ "พระอาจารย์คม" ประธานฝ่ายสงฆ์และพระชื่อดัง พร้อมน้องสาว ร่วมกันยักยอกเงินวัด มูลค่าความเสียหายกว่า 180 ล้านบาท
การจับกุมครั้งนี้เป็นไปตามหมายจับศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางที่ 64-66 /2566 ตามลำดับ ลงวันที่ 6 พ.ค.66 ข้อหา "เป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงานเบียดบังทรัพย์โดยทุจริต,เป็นเจ้าพนักงานเบียดบังทรัพย์โดยทุจริต, เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบและรับของโจร" โดยจับกุมตัว นายคม ได้ในพื้นที่ กทม. ส่วน นายวุฒิมา จับกุมได้ในพื้นที่ จ.นครราชสีมา ขณะที่ นางสาวจุฑาทิพย์ จับกุมตัวได้ในพื้นที่ จ.นนทบุรี
พล.ต.ต.มนตรี กล่าวว่า สืบเนื่องจากได้รับการประสาน จาก สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติให้ตรวจสอบพฤติกรรมของ พระอาจารย์คม ประธานฝ่ายสงฆ์ของวัดป่าธรรมคีรี อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา
หลังสงสัยว่า มีการทุจริตเงินวัด จึงจัดกำลังพื้นที่สืบสวนตรวจสอบภายในวัด จนพบว่า พระอาจารย์คม ซึ่งเป็นพระผู้ดูแลการใช้จ่ายเงินต่าง ๆ ของวัดรวมถึงเงินที่ญาติโยมมีจิตศรัทธาร่วมทำบุญ ได้ร่วมกับ พระหมอ เจ้าอาวาสวัด วัดนำเงินของวัดไปใช้จ่ายส่วนตัว รวมถึงยังนำเงินสดไปมอบให้น.ส.จุฑาทิพย์ น้องสาวของตน เพื่อฝากเข้าบัญชีธนาคาร หรือ เก็บไว้
จากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่า ทั้ง 3 คนร่วมกันยักยอกเงินของวัดไปแล้วกว่า 180 ล้าน และคาดว่า น่าจะมีจำนวนเพิ่มขึ้นอีกอยู่ระหว่างการตรวจสอบ
นอกจากนี้จากการตรวจค้นบ้านพักของ น.ส.จุฑาทิพย์ พบเงินสดจำนวน 51 ล้านบาท ถูกเก็บไว้ในลังโฟมและกระเป๋าเดินทาง รวมถึงพบเงินที่ถูกเก็บไว้ในบัญชีอีกกว่า 130 ล้านบาท สำหรับตัวเลขยอดเงิน 180 ล้านบาทเป็นแค่ยอดที่ตรวจสอบพบเบื้องต้นซึ่งอาจจะมีมากกว่านี้แต่คงต้องรอการตรวจอย่างละเอียดสัปดาห์หน้า ผบก.ป. กล่าว
สำหรับผู้ต้องหาทั้ง 3 ราย ขณะนี้อยู่ในการควบคุมตัวของตำรวจ อยู่ระหว่างการขยายผลตรวจสอบ ค้นหาพยานหลักฐานอื่นๆเพิ่มเติม ส่วนจะมีการดำเนินคดีในผิดเกี่ยวกับมาตรา 112 ด้วยหรือไม่นั้น
จากหลักฐานที่มีอยู่ยังไม่พบความผิดดังกล่าว ในส่วนของการสอบปากคำ ผู้ต้องหาทั้งสามให้การรับสารภาพว่าได้นำเงินของวัดออกมาจริง รวมถึงในระหว่างที่ถือสมณเพศนั้น ได้มีการเสพเมถุนภายในกุฏิของวัดซึ่งถือเป็นการอาบัติปาราชิก ตามข้อบัญญัติทางธรรมวินัยอีกส่วนหนึ่ง ทางผู้ต้องหาจึงสมัครใจที่จะลาสิกขา
สำหรับจุดเริ่มต้นของกรณีดังกล่าว ทางสำนักพระพุทธศาสนาฯ ได้รับร้องเรียนทางลับให้ตรวจสอบพฤติกรรมของอดีตพระทั้ง 2 รูป โดยพฤติกรรมแรกเกี่ยวกับการประพฤติผิดพระธรรมวินัย เสพเมถุน
ส่วนพฤติกรรมที่ 2 เป็นเรื่องของการบริหารเงินไม่โปร่งใส นำเงินบริจาคไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ หรือ นำเงินวัดไปใช้ส่วนตัว ซึ่งหลังรับเรื่องจึงมีการตรวจสอบข้อเท็จจริงจนพบว่า ทั้งคู่มีพฤติกรรมส่อไปในทางดังกล่าวจริงจึงแจ้งไปยังคณะปกครอง ก่อนท้ายที่สุดก็ยอมรับมีพฤติกรรมนั้นจริง
ส่วนเรื่องยักยอกเงินวัดนั้นเป็นเรื่องของคดีอาญาจึงประสานมายังกองปราบให้ช่วยตรวจสอบจนนำมาสู่การจับกุมดังกล่าว