อาลัย "หมอกฤตไท" เจ้าของเพจ “สู้ดิวะ” เสียชีวิตแล้ว ⁣

05 ธ.ค. 2566 | 05:37 น.
อัปเดตล่าสุด :05 ธ.ค. 2566 | 10:25 น.

อาลัย "หมอกฤตไท" เจ้าของเพจ “สู้ดิวะ” เสียชีวิตแล้วในวัย 29 ปี ⁣หลังต่อสู้กับโรคมะเร็งปอดระยะสุดท้ายมาตลอดระยะเวลา 1 ปีเต็ม พร้อมเปิดบทสุดท้ายจากคุณหมอกฤตไท

จากกรณี “หมอกฤตไท” นพ.กฤตไท ธนสมบัติกุล หมอหนุ่มซึ่งป่วยมะเร็งปอด ได้ออกมาแชร์เรื่องราวและอาการป่วยของตัวเอง ผ่านทางเพจเฟซบุ๊กและหนังสือ "สู้ดิวะ" มีผู้ติดตามคอยให้กำลังใจเป็นจำนวนมาก ล่าสุดเสียชีวิตแล้วในวัย 29 ปี

ล่าสุดวันนี้ (5 ธ.ค.) เฟซบุ๊ก ไทภัทร ธนสมบัติกุล ซึ่งเป็นคุณพ่อของคุณหมอกฤตไท ได้แชร์ภาพหน้าจอโทรศัพท์ซึ่งเป็นภาพของลูกชาย ขึ้นเวลา 10:59 น. พร้อมระบุข้อความในโพสต์ว่า “เดินทางปลอดภัยครับ ลูกชาย #สู้ดิวะ”⁣

หมอกฤตไท เพจสู้ดิวะ เสียชีวิตแล้ว

ขณะที่ล่าสุดเพจ สู้ดิวะ ได้โพสต์ข้อความระบุว่า สวัสดีครับ 

หลายๆท่านคงได้ทราบเรื่องการจากไปของหมอกฤตไทเมื่อช่วงเช้าวันนี้แล้ว 

ตั้งแต่คุณหมอไทรู้ว่าตัวเองป่วยเมื่อช่วงปีที่แล้ว 
คุณหมอมีความตั้งใจที่จะใช้เวลาที่เหลืออยู่ให้มีค่ากับคนรอบข้างมากที่สุด พวกเราได้สร้างเพจ ‘สู้ดิวะ’ นี้ขึ้น เพื่อถ่ายทอดเรื่องราวแนวคิดต่างๆที่หมอไทได้ตกตะกอนในช่วงที่ต้องต่อสู้กับโรคร้าย 

ผ่านมาจนถึงตอนนี้ ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นกับสังคมนั้นเกินกว่าที่หมอไทและพวกเรากลุ่มเพื่อนสนิทหวังไว้ไปมาก หลายท่านได้มีโอกาสกลับมาทบทวนแนวทางการดำเนินชีวิต หลายท่านได้แลกเปลี่ยนเรื่องราวในฐานะผู้ป่วยระยะสุดท้าย และหลายท่านกลับมามีกำลังใจที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปจากการที่ได้อ่านโพสต์ของคุณหมอ

นอกจากจะได้แบ่งปันสิ่งต่างๆให้กับคนรอบตัวเพจนี้ยังเป็นเสมือนกำลังใจในการใช้ชีวิตให้กับคุณหมออีกด้วย หลายครั้งที่หมอไทท้อแท้หรือหมดกำลังใจจากการรักษาที่แสนทรมาน สิ่งหนึ่งที่คอยเป็นกำลังใจให้หมออยู่เสมอ ก็คือเรื่องราวของผู้ติดตามเพจ ‘สู้ดิวะ’ ที่ได้รับอะไรบางอย่างจากข้อเขียนของหมอไท

อาลัย \"หมอกฤตไท\" เจ้าของเพจ “สู้ดิวะ” เสียชีวิตแล้ว ⁣

ตอนนี้เพจ ‘สู้ดิวะ’ ได้บรรลุจุดมุ่งหมายที่ตั้งไว้เรียบร้อยแล้ว ในฐานะเพื่อนของคุณหมอไท ที่ได้ร่วมช่วยดูแลเพจนี้มาตลอด พวกเราอยากจะขอขอบคุณทุกคน ที่อยู่เป็นกำลังใจให้กันมาจนถึงวันนี้

หลังจากนี้ถึงแม้จะไม่มีโพสถัดไปจากคุณหมออีกแล้ว แต่พวกเราหวังว่าแนวคิดและแรงบัลดาลใจที่คุณหมอได้สร้างไว้ จะถูกพูดถึง ส่งต่อ เป็นพลังให้กับผู้คนในสังคมต่อไป

ขอบคุณทุกคนมากๆครับ
แม็ก, ศีล, แก๊ป
แอดมินเพจสู้ดิวะ

บทส่งท้าย จากคุณหมอกฤตไท

ถ้าจะให้สรุปบทเรียนจากน้องมะเร็งในช่วงที่อยู่ด้วยกันมาคงสรุปได้ว่า “ชีวิตไม่แน่นอน สุดท้ายเราทุกคนจะต้องตาย จงอยู่กับปัจจุบัน ใช้แต่ละวันให้เหมือนวันสุดท้าย ถ้ามีอะไรที่ทำเพื่อคนอื่นได้ ก็แบ่งปันความโชคดีให้เขาบ้าง และไม่ว่าชีวิตจะเลวร้ายแค่ไหน อย่าหมดหวังกับชีวิตเด็ดขาด”

มาคิดดูดีๆ ยังไงมันก็เป็นเรื่องที่ดูผิดปกติเหมือนกันนะครับ ที่ผมจะต้องมาตายก่อนที่จะแก่ เมื่อก่อนผมดูแลตัวอย่างดี เพื่อที่จะให้ตอนแก่ไม่เป็นโรคเรื้อรังอย่าง เบาหวาน ไขมัน ความดัน ผมอยากเป็นคนแก่ที่ผมหงอกแต่มีกล้าม สุขภาพแข็งแรง แต่ก็ดูเหมือนจะไม่มีโอกาสไปถึงวันนั้นเสียแล้ว ยอมรับว่ามันก็รู้สึกเจ็บปวดจริงๆ แต่ก็นี่แหละครับ ชีวิต ชีวิตที่แสนเปราะบาง ชีวิตที่เราเคยเข้าใจผิดไปว่าเรามีสิทธิ์ในการจะบงการมันไปอีกยาวนาน ผมรักชีวิตของผมตอนนี้มาก ผมรักทุกคนรอบตัวผม รักทุกอย่างที่ผมมี รักทุกสิ่งที่ผมเป็น แน่นอนว่าผมไม่อยากจากไป แต่ผมก็ทำอะไรไม่ได้

ผมหวังว่าเรื่องของผมจะช่วยให้คุณกลับมามองชีวิตตัวเองแล้วฉุกคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ โดยที่ไม่จำเป็นต้องมาเป็นโรคร้ายแบบผม

กับตัวเอง ตั้งแต่ป่วยมา ผมเลิกให้ความสำคัญกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อย่างเรื่องน่าหงุดหงิด เรื่องน่ากังวลไร้สาระที่เมื่อก่อนผมให้ความสำคัญกับมันเสียมากมาย ดังนั้นคุณไม่จำเป็นต้องรอให้ป่วย คุณก็เลือกที่จะไม่ใส่ใจเรื่องไร้สาระพวกนั้นได้ตอนนี้เลย

วันนี้คุณอาจกำลังทำงานเกินเวลา คุณอาจหัวร้อนที่ตีบวกไม่ติด คุณอาจหมดใจกับองค์กร คุณอาจหงุดหงิดพุงย้อยๆ ของตัวเอง คุณอาจไม่พอใจที่ตอนไปดัดผมออกมาแล้วหยิกเกินไป คุณอาจอยากให้ซิกแพ็คคุณชัดกว่านี้สักหน่อย หรือ อาจกำลังรำคาญสิวบนใบหน้า

เรื่องไร้สาระพวกนี้ ช่างหัวมันเถอะครับ 

ผมเคยสนใจเรื่องพวกนี้มากพอๆ กับคุณแหละครับ แต่เชื่อผมเถอะ คุณจะไม่คิดถึงมันเลย ถ้าคุณกำลังจะตาย

พอเราไม่ต้องเสียเวลาให้กับเรื่องเล็กๆ พวกนั้นแล้ว คุณจะมีสมาธิมากพอที่จะโฟกัสกับอาหารตรงหน้า โฟกัสกับการวิ่ง โฟกัสกับอากาศบริสุทธิ์ที่คุณยังสามารถหายใจเอามันเข้าไปในปอดของคุณได้ โดยไม่มีอาการเจ็บหน้าอกแบบผม คุณลองมองความสวยงามของธรรมชาติ มองรอยยิ้มของคนรอบข้าง และเสียงหัวเราะของคนที่คุณรัก มันพิเศษมากๆ เลยที่คุณยังทำสิ่งเหล่านี้ได้ 

ผมเห็นคนบ่นว่ามันยากแค่ไหนที่จะไปออกกำลังกาย เงื่อนไขต่างๆ ที่ทำให้เขาไม่สามารถดูแลร่างกายตัวเองได้ ให้ตายเถอะ ผมอยากไปออกกำลังกายมากๆ คุณควรดีใจนะ ที่คุณยังไปออกกำลังกายได้ ดังนั้น ไปเถอะครับ ออกไปดูแลสุขภาพตัวเองในตอนที่คุณยังทำได้ แม้ว่ารูปร่างของเราจะยังไม่ใช่แบบที่เราต้องการ แต่การออกกำลังกายและกินอาหารที่เป็นประโยชน์ มันก็เป็นสิ่งที่ดีที่เราควรทำจริงๆ ครับ 

สิ่งสำคัญนอกจากการดูแลร่างกายคือการดูแลสุขภาพจิตของเรา ปัจจุบันเราอยู่ในโลกที่สังคมออนไลน์ที่น่ากลัวมาก และที่สำคัญกว่านั้นคือสังคมรอบข้างตัวคุณ เราเปลี่ยนความคิดคนรอบข้างไม่ได้ แต่เราเปลี่ยนตัวคนรอบข้างเราได้ครับ เราไม่จำเป็นต้องทนอยู่กับคนที่ทำให้ชีวิตเราแย่ลง หรือคนที่เราไม่ได้อยากอยู่ด้วย เลือกสังคมให้ชีวิตตัวเองดีๆ 

ผมเห็นผู้คนที่ไม่อยากให้ถึงวันจันทร์ คนที่ยอมอดทนทั้งที่มีสิทธิ์เลือก คุณไม่ได้มีชีวิตอยู่เพื่อทำงานครับ ชีวิตคุณไม่ได้ยาวนานพอที่จะอยู่อย่างฝืนทน เลือกที่จะปฏิเสธสิ่งที่คุณไม่ต้องการ อย่าไปใช้เวลาของคุณเพื่อความฝันของคนอื่นครับ จำไว้ว่าถ้ามีเรื่องไหนที่คุณไม่โอเคกับมัน คุณมีสิทธิ์เต็มที่ที่จะเปลี่ยนแปลงมัน ทั้งเรื่องงาน ความรัก หรืออะไรก็ตาม คุณต้องกล้าที่จะเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับชีวิตคุณเอง คุณจะไปทนทำไม คุณอาจบอกว่า “ทนไปแล้วค่อยเปลี่ยน” แต่คุณไม่รู้ว่าหรอกว่าคุณเหลือเวลาบนโลกนี้อีกเท่าไหร่ ดังนั้น อย่าเอาเวลาชีวิตที่แสนจำกัดนี้ไปใช้กับสิ่งที่คุณไม่ชอบเลยครับ แค่ทำสิ่งที่ชอบ เวลาก็ไม่พออยู่แล้ว

ให้เวลากับคนรักของคุณ กับเพื่อน กับครอบครัว กับคนที่รักคุณ กับคนที่มีความสำคัญกับชีวิตคุณ มากกว่าภาระ การงาน ตำแหน่ง และเงินทองเถอะครับ

ผมหวังว่าคุณจะหันมาขอบคุณความปกติในชีวิตคุณให้มากขึ้น

ทุกคืนที่คุณล้มตัวลงนอนแล้วนอนหลับได้ การที่คุณไม่ต้องฝันถึงท่อช่วยหายใจ ทุกวันที่คุณตื่นขึ้นมาแล้วไม่ได้หายใจแล้วเจ็บ ไม่ได้มีอาการหอบเหนื่อย ถ้าคุณไม่ได้มีอาการปวดกระดูกทุกครั้งที่คุณขยับตัว หรือคุณไม่ต้องมากลัวว่าวันไหนที่ตื่นมาแล้วคุณจะมองไม่เห็น เดินไม่ได้ พูดไม่ชัด ขยับแขนขาไม่ได้ ในขณะที่ผมเขียนข้อความนี้อยู่ ผมปวดกระดูกและเจ็บเส้นประสาทมาก ผมมีอาการเหมือนโดนน้ำร้อนลวกที่หลัง และโดนมีดแทงที่ลำตัวข้างขวาตลอดเวลา ผมต้องกินยาแก้ปวดมหาศาลเพื่อให้ผมยังเขียนข้อความนี้ได้

ขอบคุณชีวิตที่แสนปกติของคุณเถอะครับ แล้วใช้มันให้เต็มที่กับทุกวันที่โลกนี้มอบให้กับคุณ

ชีวิตที่ปกติและธรรมดาในแต่ละวันของคุณมันคือของขวัญที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแล้ว

คุณไม่มีทางรู้เลยว่าพรุ่งนี้คุณจะตื่นมาแล้วมีทุกอย่างแบบที่คุณมีวันนี้อยู่ไหม

วันก่อนที่ผมจะได้รับการวินิจฉัย ผมก็คิดเหมือนทุกคนแหละครับ ว่าคงไม่ใช่ผมหรอกที่ต้องมาเป็นผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้าย ดังนั้น อย่าทำอะไรให้ต้องมาเสียใจทีหลังเลยครับ

ใช้ช่วงเวลาที่คุณมีให้มีความสุขไปกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า เพราะมันพิเศษ เราโชคดีมากที่ยังได้มีโอกาสมาเจอช่วงเวลานี้ และมันอาจเป็นครั้งสุดท้ายก็ได้ อย่าเอาแต่ยกมือถือขึ้นมาถ่ายเพื่อเอาไปอวดคนอื่นว่าตัวเองกำลังมีความสุข อย่าเอาความสุขไปแขวนกับความคิดคนอื่นที่ไม่ได้มีความหมายอะไรกับคุณ กลับมาดื่มด่ำกับภาพตรงหน้า กับผู้คนตรงหน้าคุณ กับมื้ออาหารที่คุณได้กิน แล้วรับความสุข ณ ขณะนั้นไปเลย

คุณเลือกได้ครับ ที่จะมองเรื่องราวทุกอย่างที่เข้ามาในชีวิตเป็นของขวัญ 

อาลัย \"หมอกฤตไท\" เจ้าของเพจ “สู้ดิวะ” เสียชีวิตแล้ว ⁣

ตอนไปญี่ปุ่น ผมได้มีโอกาสไปที่ ยูนิเวอร์แซล สตูดิโอ (Universal Studio) ได้ไปในโซนของ แฮร์รี พ็อตเตอร์ พร้อมกันกับพีม พีมได้ซื้อของฝากที่เป็นเครื่องรางย้อนเวลาในหนังกลับมา พีมพูดกับผมว่า มันคงจะดี ถ้าเราย้อนเวลาได้ ผมจับมือและสบตากับพีมอย่างจริงจัง พร้อมกับบอกว่า “เค้าไม่อยากย้อนเวลาหรอก”

“ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นมาแล้ว ทุกสิ่งที่เข้ามาในชีวิตเค้าทั้งดีและร้าย รวมถึงการที่เราทั้งคู่ต้องมาเผชิญกับโรคมะเร็งนี้ มันเป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมทั้งหมด ถ้าย้อนเวลาไปแล้วแก้ไขบางสิ่ง บางอย่างที่เคยเกิดขึ้นอาจจะไม่เกิดก็ได้ ถ้าย้อนเวลาไปแล้วหาทางทำให้ตัวเองไม่เป็นมะเร็ง ความรู้สึกขอบคุณชีวิตในวันนี้อาจจะไม่เกิดขึ้นก็ได้ ผมก็ยังอาจจะวิ่งไล่ตามทุนนิยมเอาแต่อยู่กับอนาคตจนลืมใช้ชีวิตในปัจจุบันแบบที่เป็นอยู่ในตอนนี้ก็ได้”

มีเรื่องที่น่าสนใจเกี่ยวกับสวนสนุกอยู่ครับ มีคนไปถามเจ้าหน้าที่สวนสนุก ว่าวันนี้สวนสนุกปิดกี่โมง เจ้าหน้าที่ตอบว่า “สวนสนุก เปิดถึงสองทุ่ม”

ตรงนี้น่าสนใจมากครับ เพราะตอนแรกที่ผมทราบตัวเลขจากงานวิจัยว่าผมจะมีเวลาเหลืออยู่บนโลกนี้นานเท่าไหร่ ถ้าผมตั้งคำถามกับตัวเองว่า “อีกนานเท่าไร ผมจะตายนะ” ผมก็คงจะซึมเศร้าและเอาแต่นั่งนับถอยหลังชีวิตตัวเอง เอาแต่นั่งคิดว่าเวลาผมลดลงทุกวัน

แต่จากข้อคิดในเรื่องการปิดของสวนสนุก ที่ไม่ได้มองว่าสวนสนุกจะปิดเมื่อไหร่ แต่กลับมองว่ายังเปิดถึงเมื่อไหร่ เป็นการมองจากจุดที่ยืนอยู่ในปัจจุบัน ไปยังอนาคตข้างหน้า ว่ายังเหลือเวลาแห่งความสุขได้อีกตั้งเท่าไหร่

ดังนั้น ผมจึงมีชีวิตแต่ละวันนับไปข้างหน้า วันนี้ได้เพิ่มมาอีกวัน วันนี้ได้เพิ่มมาอีกวัน แบบนี้ไปเรื่อยๆ ผมไม่รู้และไม่มีใครรู้ ว่าสวนสนุกของผมจะปิดเมื่อไหร่ 

แต่ถ้าวันนี้ไฟยังสว่างและม้าหมุนยังคงทำงาน ผมจะมีความสุขไปกับช่วงเวลาที่ผมมีอยู่ครับ 

ทุกท่านก็เช่นกัน

ด้านเพจนักเกรียนสวนกุหลาบ เพจนักเกรียนสวนกุหลาบได้โพสต์ข้อความ “เช้าวันนี้น้องกฤตไท ได้จากพวกเราไปแล้ว ขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวและเพื่อนๆของน้องด้วยครับ ขอบคุณสำหรับสิ่งดีๆที่น้องได้ทำให้พวกเรา สวนกุหลาบไม่ลืมน้องครับ”⁣

อาลัย \"หมอกฤตไท\" เจ้าของเพจ “สู้ดิวะ” เสียชีวิตแล้ว ⁣

ทั้งนี้คุณหมอกฤตไท ธนสมบัติกุล แห่งเพจ #สู้ดิวะ ได้จากพวกเราไปแล้ว หลังจากที่ต้องต่อสู้กับโรคมะเร็งปอดระยะสุดท้ายมาตลอดระยะเวลา 1 ปี 2 เดือน

ก่อนหน้านี้หมอ หมอกฤตไท เพจสู้ดิวะ หลังเผยเรื่องราว ที่พบว่าตนเองป่วยเป็น "มะเร็งปอด" เมื่อ 10 พ.ย.2565 ในวัยเพียง 28 ปี ก่อนจะเริ่มเข้าสู่กระบวนการรักษา และเขียนหนังสือ "สู้ดิวะ"

ทั้งล่าสุดได้ออกมาโพสต์ว่าผมคงอยู่ได้อีกไม่นานแล้ว ใครมีอะไรอยากพูดอยากบอกผมเชิญได้เลย ผมน่าจะไปช่วงกลางเดือนหน้า จากนั้นไว้เจอกันใหม่นะครับ ขอบคุณสำหรับทุกอย่างตลอดช่วง 30 ปีที่ผ่านมา ขอโทษถ้าผมทำให้ใครไม่พอใจ 

ย้อนไทม์ไลน์การต่อสู้ฌรคมะเร็งปอดระยะสุดท้ายของ หมอกฤตไท เพจสู้ดิวะ

  • 10 พ.ย. 2565 โพสต์ของหมอหนุ่มคนหนึ่งกลายเป็นไวรัล เมื่อเขาออกมาเล่าประวัติชีวิตของตัวเองผ่าน เพจสู้ดิวะ บอกว่า เขาในวัย 28 ปี ป่วยเป็นมะเร็งปอดระยะสุดท้าย โดยเริ่มจากไอ รักษาอย่างไรก็ไม่หาย จึงตัดสินใจไปตรวจสุขภาพอย่างละเอียดในวันที่ 3 ตุลาคม 2565 

หมอกฤตไท เพจสู้ดิวะ

  • 27 พ.ย. 2565 หมอกฤตไท อัพเดตชีวิตผ่านเพจ สูดิวะ ว่าตัวเองสบายดี เพิ่งรับเคมีบำบัดรอบที่สาม จากที่ไม่มีแรง นอนอย่างเดียว เริ่มออกกำลังกาย ใช้ชีวิตตามปกติได้มากขึ้น แถมผลเอ็กซเรย์ปอดก็ดูดีขึ้น
  • 25 ธ.ค. 2565 ครบ 3 เดือนที่ หมอกฤตไท ป่วยเป็นมะเร็งปอดระยะสุดท้าย เขากลับมาอัพเดตชีวิตให้ฟังอีกครั้ง จากวัยรุ่นที่ใช้ชีวิตด้วยความเร่งรีบ อาการป่วยทำให้ได้ลองใช้ชีวิตช้าลง และเขาก็พบว่ามันไม่ได้แย่ขนาดนั้น และมีข่าวดีว่าเขาตอบสนองกับการรักษาได้ดีมาก ๆ ก้อนใหญ่ที่ปอดขวาเล็กลง ก้อนเล็กที่ปอดซ้ายก็หายไปหมด
  • 28 ม.ค. 2566 หมอกฤตไท อัพรูปที่ตัวเองกลับไปทำงานเป็นอาจารย์หมอ สอนนักศึกษาแพทย์ ต้องฝึกพูดใหม่เพราะปอดไม่ชินกับการพูดนาน ๆ เขาบอกอีกว่าสนุกกับงาน จนลืมป่วยไปเลย จากนั้นก็จะทยอยอัพเดตชีวิตและให้ข้อคิดดี ๆ ในทุกเดือน เดือนละครั้ง สองครั้ง 
  • หลังเดือนเมษายน 2566 เพจของหมอกฤตไท ก็เงียบหายไป
  • 16 ก.ย. 2566 หมอกฤตไท ก็กลับมาโพสต์อีกครั้ง ด้วยการอัพเดตว่าตอนนี้เขาเพิ่งออกหนังสือเป็นของตัวเอง ชื่อ สู้ ดิ วะ พร้อมเล่าหลายเดือนที่หายไปว่าต่อสู้กับโรคร้ายนี้อย่างหนักหน่วง ทั้งผ่าตัดสมอง ฉายแสงที่สมองและที่หลัง รับคีโมแล้วเกิดภาวะแทรกซ้อน และอื่น ๆ อีกมากมาย เจ็บปวดขนาดที่ว่าเขาท้อกับการมีชีวิตอยู่ แต่เขาก็ไม่ยอมแพ้
  • 22 ต.ค. 2566 เพจมีการเคลื่อนไหว โดยแอดมินแจ้งว่า คุณหมออาการไม่ค่อยดีนักครับ มะเร็งมีการลุกลามไปทั่วร่างกาย ทำให้ไม่สามารถใช้ชีวิตได้ปกติ จากที่วางแผนจะไปร่วมงานแจกลายเซ็นที่งานหนังสือ แต่ก็ไม่สามารถทำได้
  • วันที่  8 พ.ย. 2566 หมอกฤตไท จะโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า “ผมน่าจะไปช่วงกลางเดือนหน้า จากนั้นไว้เจอกันใหม่นะครับ ณ ตอนนี้ผมพิมพ์ได้เท่านี้ก็เอาละครับ ขอบคุณสำหรับทุกอย่างตลอดช่วง 30 ที่ผ่านมาครับ ขอโทษถ้าผมทำให้ใครไม่พอใจ”
  • ล่าสุด วันที่ 5 ธ.ค. 2566  นพ.กฤตไท ธนสมบัติกุล ได้เสียชีวิตแล้ว หลังต่อสู้กับโรคร้ายมานานกว่า 1 ปี 2 เดือน