นายกิตติทัศน์ ผาทอง แกนนำชาวไร่ยาสูบจากจังหวัดเชียงราย เปิดเผยว่า ปัจจุบันตลาดบุหรี่ไฟฟ้าเถื่อนในประเทศไทยมีมูลค่ามหาศาล มีผู้ใช้ไม่ต่ำกว่า 1-2 ล้านคน ส่งผลกระทบต่อยอดขายบุหรี่โดยตรง ทำให้ความต้องการใช้ใบยาลดลง และยังส่งผลต่อรายได้ของเกษตรกรผู้ปลูกยาสูบ รัฐบาลจำเป็นต้องดำเนินการอย่างจริงจังเพื่อปราบปรามการค้าบุหรี่ไฟฟ้าเถื่อนเหล่านี้
ทั้งนี้ หากเปรียบเทียบกับหลายปีก่อนๆ ปริมาณยอดขายบุหรี่ถูกกฎหมายลดฮวบ เพราะปัญหาบุหรี่เถื่อนราคาถูกทะลักเข้ามาตีตลาด และบุหรี่ไฟฟ้าลักลอบซึ่งกำลังได้รับความนิยมสูง จนเกษตรกรได้รับผลกระทบ มีชีวิตความเป็นอยู่อย่างยากลำบากเพราะรายได้ที่ลดลง หนี้สินไม่ลดตาม
ขณะที่การยาสูบแห่งประเทศไทย (ยสท.) หรือรัฐบาลก็ยังไม่สามารถช่วยเหลือเรื่องต้นทุนปัจจัยการผลิตได้เต็มที่เพราะกำไรของ ยสท ที่ลดลงอย่างมากจากการทะลักของบุหรี่เถื่อนและบุหรี่ไฟฟ้าและระบบภาษีที่ต้องแข่งขันกันขายที่ราคาถูก
นายกิตติทัศน์ กล่าวอีกว่า รัฐบาลควรมีมาตรการที่เข้มงวดมากขึ้นในการปราบปรามการลักลอบนำเข้าและจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้า เข้าใจดีว่าการบังคับใช้กฎหมายอย่างเต็มรูปแบบนั้นอาจเป็นไปได้ยาก แต่รัฐบาลควรมีมาตรการที่ชัดเจนและจริงจังเพื่อควบคุมสถานการณ์นี้
อย่างไรก็ตาม ก็ต้องยอมรับความจริงว่า การปราบปรามบุหรี่ไฟฟ้าทั้งหมดอาจเป็นไปได้ยาก เนื่องจากเป็นเทรนด์ที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลก
"หากการปราบปรามบุหรี่ไฟฟ้าทั้งหมดเป็นไปไม่ได้ อาจจะถึงเวลาที่รัฐบาลควรพิจารณาปรับกฎหมายเกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้า เพื่อหาวิธีสนับสนุนเกษตรกรผู้ปลูกยาสูบในประเทศ"
นายกิตติทัศน์ กล่าวอีกว่า ปัจจุบันมี 2 แนวทางที่อาจจะสามารถเยียวยาปัญหานี้ได้นอกเหนือจากการไล่จับร้านค้าบุหรี่ไฟฟ้าเถื่อน ประกอบด้วย
“บุหรี่ไฟฟ้าแบบที่ใช้ใบยาสูบเป็นที่ยอมรับในกว่า 80 ประเทศทั่วโลก เทคโนโลยีนี้ยังคงใช้ใบยาสูบ ซึ่งอาจเป็นทางออกที่ช่วยสนับสนุนเกษตรกรผู้ปลูกยาสูบในประเทศได้ จึงขอให้นายกรัฐมนตรีเศรษฐา ทวีสิน ทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลเพื่อไทย กระทรวงการคลัง กรมสรรพสามิต รวมทั้งคณะกรรมาธิการต่างๆ ในสภา ได้พิจารณาเรื่องนี้อย่างรอบด้าน เกษตรกรผู้ปลูกยาสูบพร้อมที่จะร่วมมือกับรัฐบาลในการหาวิธีแก้ไขปัญหานี้อย่างเร่งด่วน"