พลิกคดีบอส อยู่วิทยา คำให้การ “จารุชาติ มาดทอง”

03 ส.ค. 2563 | 08:32 น.

เปิดคำให้การ “จารุชาติ มาดทอง” พยานพลิกคดี "บอส อยู่วิทยา" ยัน ทายาทกระทิงแดงขับรถไม่ถึง 80 กม./ชม.

จากกรณีที่ นายจารุชาติ มาดทอง หนึ่งพยานคนสำคัญของคดีนายวรยุทธ หรือ บอส อยู่วิทยา ทายาทเครื่องดื่มชูกำลังชื่อดัง เสียชีวิตจากอุบัติเหตุรถจักรยานยนต์เฉี่ยวชนเมื่อคืนวันที่ 30 มิถุนายน 2563 ที่จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งล่าสุด พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมมีคำสั่งขออายัดศพพยานปากสำคัญรายนี้ไว้ก่อนเพื่อนำกลับมาชันสูตรพลิกศพสืบหาการเสียชีวิตอย่างละเอียด

 

ทั้งนี้ ชื่อของ จารุชาติ มาดทอง ปรากฎอยู่ในสำนวนอัยการ สั่งไม่ฟ้องคดีบอส อยู่วิทยา กรณีขับรถชนตำรวจ สน.ทองหล่อ เสียชีวิตเมื่อปี 2555 ระบุว่า เป็นเหตุสุดวิสัย และการสอบปากคำพยานใหม่ จำนวน 2 ราย คือ พล.อ.ท.จักรกฤช ถนอมกุลบุตร และนายจารุชาติ มาดทอง ในช่วงเดือนธันวาคม 2562 หลังเกิดเหตุกว่า 7 ปีที่สอดคล้องกับผู้เชี่ยวชาญยืนยันว่า ผู้ต้องหาขับรถเฟอร์รารี่ไม่ประมาท ความเร็วไม่เกิน 80 กม.ต่อชั่วโมง มีดังนี้  

 

คดีนายวรยุทธ อยู่วิทยา ผู้ต้องหาที่ 1 ข้อหา ขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้เฉี่ยวชนรถอื่นเสียหาย และมีผู้ถึงแก่ความตาย ขับรถในทางก่อให้เกิดความ เสียหายแก่บุคคล ไม่หยุดรถและให้ความช่วยเหลือตามสมควรแก่ผู้ได้รับความเสียหายและไม่แจ้งเหตุต่อเจ้า พนักงานในทันทีขับรถในขณะเมาสุราเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ขับรถเร็วเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนด

 

ข้อเท็จจริงได้ความว่า  เมื่อวันที่ 3 กันยายน 2555 เวลาประมาณ 05.20 นาฬิกา ขณะที่ผู้ต้องหาที่ 1 กำลังขับขี่รถยนต์นั่งส่วนบุคคล ยี่ห้อเฟอรารี่ หมายเลขทะเบียน ญญ-1111กรุงเทพมหานคร ไปตามถนนสุขุมวิท ฝั่งขาออก ในช่องทางเดินรถที่ 3  ติดกับเกาะกลางถนน จากบริเวณปากซอยสุขุมวิท 45  มุ่งหน้าไปทางพระโขนง เมื่อถึงบริเวณระหว่างปากซอยสุขุมวิท 47 และปากซอยสุขุมวิท  46 ได้ชนท้ายรถจักรยานยนต์ ตราโล่ห์ คันหมายเลข ทะเบียน 51511 ซึ่งมีผู้ต้องหาที่ 2 เป็นผู้ขับขี่ เป็นเหตุให้รถจักรยานยนต์คันที่ผู้ต้องหาที่ 2 ขับขี่ล้มลงครูดไถลไปตามพื้นถนน หยุดอยู่ที่บริเวณปากซอยสุขุมวิท 49 ร่างของผู้ต้องหาที่ 2 พลัดตกจากรถจักรยานยนต์ขึ้นไปกระแทก กระจกด้านหน้ารถยนต์นั่งส่วนบุคคลคันที่ผู้ต้องหาที่ 1 ขับขี่ แล้วตกลงไปที่พื้นถนนขีดเกาะกลางถนน ถึงแก่ความตาย ผู้ต้องหาที่ 1 ไม่ได้หยุดรถภายหลังเกิดเหตุ แต่ได้ขับขี่หลบหนีเข้าไปภายในบ้านพักเลขที่ 9 ซอยสุขุมวิท 53

 

พนักงานสอบสวนได้เดินทางไปตรวจสถานที่เกิดเหตุ จากการสืบสวนพบคราบน้ำมันซึ่งสันนิษฐานว่า เป็นของรถยนต์นั่งส่วนบุคคลของผู้ต้องหาที่ 1 ขับขี่จากบริเวณที่เกิดเหตุเข้าไปหยุดที่บริเวณหน้าบ้านเลขที่ 9  จึงได้นำหมายค้นของศาลอาญากรุงเทพใต้เข้าตรวจค้นภายในบ้านหลังดังกล่าว พบรถยนต์นั่งส่วนบุคคลคันที่ผู้ต้องหาที่ 1 ขับขี่ขณะเกิดเหตุจอดอยู่ชั้นใต้ดิน และพบผู้ต้องหาที่ 1 แสดงตัวเป็นของบ้าน นำตัวผู้ต้องหาที่ 1 มอบต่อพนักงานสอบสวน พนักงานสอบสวนได้แจ้งเจ้าพนักงานตำรวจ กองพิสูจน์หลักฐานเดินทางไปตรวจเก็บวัตถุพยาน จากรถยนต์คันดังกล่าว และยึดรถยนต์นั่งส่วนบุคคลคันดังกล่าวเป็นของกลาง ส่งตรวจร่องรอยความเสียหายทางวิทยาการพร้อมกับรถจักรยานยนต์คันที่ผู้ต้องหาที่  2 ขับขี่ ขณะเกิดเหตุนอกจากนี้ พนักงานสอบสวนได้ส่งตัวผู้ต้องหา ที่ 1ไปตรวจหาสารเสพติดและปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดที่โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ในวันเดียวกัน

 

ชั้นสอบสวนผู้ต้องหาที่ 1 ให้การปฏิเสธ ผู้ต้องหาที่ 2 ถึงแก่ความตาย

พนักงานสอบสวนมีความเห็นควรสั่งฟ้องผู้ต้องการที่ 1 ฐานขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้เฉี่ยวชนรถอื่นเสียหายและมีผู้ถึงแก่ความตาย ขับรถในทางก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคล ไม่หยุดรถและให้ความช่วยเหลือตามสมควรแก่ผู้ได้รับความเสียหายและไม่แจ้งเหตุต่อเจ้าพนักงานในทันที ขับรถเร็วเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนด และเห็นควรสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาที่ 1 ฐานขับรถในขณะเมาสุราเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย

 

คำวินิจฉัย สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญากรุงเทพใต้ 1 ได้มีความเห็นและคำสั่งทางคดี โดยสั่งฟ้องผู้ต้องหาที่ 1 ข้อหาขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้เฉี่ยวชนรถอื่นเสียหายและมีผู้ถึงแก่ความตาย ขับรถในทางก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลและทรัพย์สินของผู้อื่นแล้วไม่หยุดรถและให้ความช่วยเหลือ พร้อมทั้งไม่แสดงตัว และแจ้งเหตุต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ที่ใกล้เคียงในทันที และขับรถเร็วเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนด และเห็นควรสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาที่  1 ข้อหาขับรถในขณะเมาสุราเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ส่วนผู้ต้องหาที่ 2 ถึงแก่ความตาย จึงมีคำสั่งยุติการดำเนินคดีกับผู้ต้องหาที่  2 ในข้อหาขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ชนรถของผู้อื่นเสียหาย

 

ต่อมาได้เสนอความเห็นควรสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาที่ 1 ข้อหาขับรถในขณะเมาสุราเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายไปยัง อธิบดีอัยการ สำนักงานคดีอาญากรุงเทพใต้ เพื่อพิจารณา เนื่องจากเห็นว่า เป็นที่สำคัญที่ประชาชนสนใจ

 

อธิบดีอัยการ สำนักงานคดีอาญากรุงเทพใต้ พิจารณาแล้วมีคำสั่งฟ้องผู้ต้องหาที่ 1 ข้อหาขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้เฉียวชนรถอื่นเสียรายและมีผู้ถึงแก่ความตาย ขับรถในทางก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคลและทรัพย์สินของผู้อื่น แล้วไม่หยุดรถและให้ความช่วยเหลื่อพร้อมทั้งไม่แสดงตัวและแจ้งเหตุต่อพนักงาน เจ้าหน้าที่ที่ใกล้เคียงในทันที และขับรถเร็วเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนด และสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาที่ 1 ข้อหาขับรถในขณะเมาสุราเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 43 (2) , 160 ตรี และมีคำสั่งยุติการดำเนินคดีกับผู้ต้องหาที่ 2 ในข้อหาขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ชนรถของผู้อื่นเสียหาย ตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 43 (4) ซึ่งต่อมาผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติไม่แย้งคำสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาที่ 1 ข้อหาขับรถในขณะเมาสุราเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

2 กมธ.ร่วมถก คดี“บอส อยู่วิทยา”

จับพิรุธ “อัยการ” ชักเข้าชักออก คดี “บอส อยู่วิทยา”

นายกฯเล็งใช้อำนาจรื้อคดี“บอส อยู่วิทยา”

คดีบอส อยู่วิทยา “สมัคร เชาวภานันท์” ทนายความเปิดปากครั้งแรก

“อัยการ”ได้ข้อสรุป-ข้อเสนอแนะคดี"บอส อยู่วิทยา"แถลงพรุ่งนี้

 

ในระหว่างเสนอสำนวนไปยังผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเพื่อพิจารณาคำสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาที่  1 ข้อหาขับรถในขณะเมาสุราเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ผู้ต้องหาที่ 1 ได้ยื่นหนังสือร้องขอความเป็นธรรมต่ออัยการสูงสุดหลายครั้ง ซึ่งอัยการสูงสุดมีคำสั่งให้พนักงานสอบสวนทำการสอบสวนเพิ่มเติมตามหนังสือร้องขอความเป็นธรรม

แต่ในระหว่างรอผลการสอบสวนเพิ่มเติม ปรากฏว่า ข้อหาขับรถเร็วเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนด และขับรถโดยประมาทอันอาจจะเกิดอันตรายแก่บุคคลหรือทรัพย์สินจะขาดอายุความฟ้องร้องในวันที่ 3 กันยายน 2556  สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญากรุงเทพใต้ 1 จึงมีหนังสือแจ้งพนักงานสอบสวนให้ส่งตัว ผู้ต้องหาที่  1 มาพบพนักงานอัยการเพื่อฟ้องคดี แต่ผู้ต้องหาที่ 1 มาตามกำหนดนัดโดยมอบอำนาจให้ทนายความมาขอเลื่อน

 

สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญากรุงเทพใต้ 1 เห็นว่า ผู้ต้องหาที่ 1 มีพฤติการณ์ หลบหนีจึงมีหนังสือแจ้งให้พนักงานสอบสวนดำเนินการร้องขอต่อศาลอาญากรุงเทพใต้ เพื่อออกหมายจับผู้ต้องหาที่1แล้วจัดส่งมาให้สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญากรุงเทพใต้1 เพื่อแจ้งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติจัดการให้ได้ ตัวผู้ต้องหาที่ 1  มาฟ้องภายในอายุความ

 

แต่จนถึงวันที่ 3 กันยายน 2556 พนักงานสอบสวนไม่ได้ส่งตัวผู้ต้องหาที่ 1 มายังพนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญากรุงเทพใต้ 1 เป็นเหตุให้ข้อหาขับรถเร็วเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนด และขับรถโดยประมาทอันอาจเกิดอันตรายแก่บุคคลหรือทรัพย์สินขาดอายุความ พนักงานอัยการจึงมีคำสั่งยุติการดำเนินคดีกับผู้ต้องหาที่ 1 ข้อหาขับรถเร็วเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด และขับรถโดยประมาทอันอาจเกิดอันตรายแก่บุคคล หรือทรัพย์สิน ตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 43 (4), 67, 152,157 เพราะเหตุคดีขาดอายุความตามระเบียบสำนักงานอัยการสูงสุดว่าด้วยการดำเนินคดีอาญาของพนักงานอัยการ พ.ศ.2547 ข้อ 54 (6)

 

ต่อมาวันที่ 27 พฤศจิกายน 2556 อัยการสูงสุดมีคำสั่งยุติเรื่องขอความเป็นธรรมของผู้ต้องหา ที่ 1สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญากรุงเทพใต้ 1 จึงมีหนังสือแจ้งเตือนให้พนักงานสอบสวนส่งหมายจับ ผู้ต้องหาที่ 1ให้แก่พนักงานอัยการ แต่พนักงานสอบสวนก็ไม่ดำเนินการ ทั้งผู้ต้องหาที่ 1 ก็ยื่นหนังสือขอเลื่อนการฟังคำสั่งทางคดีของพนักงานอัยการโดยตลอด

 

จนกระทั่งวันที่ 1 พฤษภาคม 2560 พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลทองหล่อได้ส่งสำเนาหมายจับและตำหนิรูปพรรณของผู้ต้องหาที่ 1 มายังพนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญากรุงเทพใต้ 1 เพื่อดำเนินการต่อไป ซึ่งสำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา กรุงเทพใต้ 1 ได้มีหนังสือถึงผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติขอให้จัดการให้ได้ตัวผู้ต้องหาที่ 1 มาฟ้องคดีภายในอายุความ 15 ปี นับแต่วันกระทำความผิด

 

ต่อมาวันที่ 3 กันยายน  2560 พนักงานสอบสวนยังไม่สามารถจับกุม ผู้ต้องหาที่ 1 ตามหมายจับมาส่งพนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญากรุงเทพใต้ 1 เพื่อยื่นฟ้องได้ เป็นเหตุให้ข้อหาขับรถในทางก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลและทรัพย์สินของผู้อื่น ไม่หยุดรถให้ความช่วยเหลือตามสมควร และไม่แจ้งเหตุต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ที่ใกล้เคียงขาดอายุความ

 

พนักงานอัยการจึงมีคำสั่งยุติการดำเนินคดีกับผู้ต้องหาที่ 1 ข้อหาขับรถในทางก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลและทรัพย์สินของผู้อื่น ไม่หยุดรถให้ความช่วยเหลือตามสมควร และไม่แจ้งเหตุต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ที่ใกล้เคียง ตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 78,160 เพราะเหตุคดีขาดอายุความ ตามระเบียบสำนักงานอัยการสูงสุดว่าด้วยการดำเนินคดีอาญาของพนักงานอัยการ พ.ศ. 2547 ข้อ 54 (6)

 

อย่างไรก็ตาม ภายหลังจากที่อัยการสูงสุดมีคำสั่งให้ยุติเรื่องขอความเป็นธรรมของผู้ต้องหาที่  1 ไป แล้วผู้ต้องหาที่ 1 ยังคงยื่นหนังสือร้องขอความเป็นธรรมต่ออัยการสูงสุดอีกหลายครั้ง รวมถึงยื่นคำร้องขอความ เป็นธรรมต่อคณะกรรมาธิการกฎหมายกระบวนการยุติธรรมและกิจการตำรวจ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช. 2557) ด้วย จนอัยการสูงสุดมีคำสั่งให้พนักงานสอบสวนทำการสอบสวนเพิ่มเติมตามหนังสือร้องขอความเป็นธรรมอีกหลายครั้ง

 

ต่อมา รองอัยการสูงสุด (นายเนตร นาคสุข อธิบดีอัยการ สำนักงานคดีศาลสูง ขณะรักษาการในตำแหน่ง รองอัยการสูงสุด) พิจารณาผลการสอบสวนเพิ่มเติมแล้ว มีความเห็นว่า คดีมีปัญหาที่จะต้องพิจารณา เฉพาะข้อกล่าวหาผู้ต้องหาที่ 1 ว่า ขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 291 ตามที่อธิบดีอัยการ สำนักงานคดีอาญากรุงเทพใต้ มีคำสั่งฟ้อง ว่า มีข้อเท็จจริงใหม่เพียงพอที่จะกลับความเห็นและคำสั่งเดิมหรือไม่ อย่างไร

 

ซึ่งพิจารณาแล้วเห็นว่า เมื่อเหตุที่พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการ พิเศษฝ่ายคดีอาญากรุงเทพใต้  1 (โดยอธิบดีอัยการ สำนักงานคดีอาญากรุงเทพใต้)  มีคำสั่งฟ้องผู้ต้องหาที่ 1 ในความผิดฐานนี้ เนื่องจากได้ความจากพ.ต.ต.ธนสิทธิ แตงจั่น ผู้ตรวจสอบความเร็วของรถยนต์ว่า ขณะเกิดเหตุรถยนต์คันที่ผู้ต้องหาที่ 1 ขับแล่นด้วยความเร็วเฉลี่ย 177 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

 

โดยผู้ตรวจสอบยืนยันว่า การคำนวณดังกล่าว มีความคลาดเคลื่อนมากขึ้นหรือน้อยถึงประมาณ 17 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งความเร็วดังกล่าวเกินกว่าความเร็วของรถยนต์นั่งส่วนบุคคลที่จะแล่นได้ภายในกรุงเทพมหานคร (80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง) ตามที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวง ฉบับที่  6 พ.ศ. 2566 ข้อ 1 (3) ลงวันที่ 30 พฤษภาคม 2522 ซึ่งออกตามความในพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 5, 67 วรรคแรก การกระทำของผู้ต้องหาที่ 1 ซึ่งเป็นการกระทำโดยประมาทปราศจากความระมัดระวังในการขับรถ

 

ต่อมาเมื่อมีการร้องขอความเป็นธรรม ได้มีการสอบสวนพยานบุคคลผู้เชี่ยวชาญเพิ่มเติม คือ พ.ต.ท.สมยศ แอบเนียน และพ.ต.ท.สุรพล เดชรัตนวิไชย พยาน ผู้เชี่ยวชาญที่ตรวจดูสภาพความเสียหายของรถทั้งสองคัน เปรียบเทียบกับความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการเฉี่ยวชนในคดีอื่นแล้ว ต่างให้การประเมินความเร็วของรถยนต์นั่งส่วนบุคคลที่ผู้ต้องหาที่ 1ขับขี่ขณะเกิดเหตุชนรถจักรยานยนต์คันที่ผู้ต้องหาที่ 2 ขับขี่ว่า ไม่ใช่ความเร็วประมาณ 170 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

 

และจากการสอบสวน รศ.ดร.สายประสิทธิ์ เกิดนิยม พยานบุคคลผู้เชี่ยวชาญ (เมื่อวันที่  23 มกราคม 2560) ในประเด็นเกี่ยวกับการคำนวณความเร็วของรถยนต์และรถจักรยานยนต์ ได้ความว่า ความเร็วของรถยนต์ Ferrari FF ก่อนเกิดเหตุจะได้ความเร็วประมาณ 76.175 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งใกล้เคียงกับความเห็นของพ.ต.ท.สมยศ ที่ตรวจร่องรอยความเสียหายของรถทั้งสองคันแล้ว สันนิษฐานว่า รถทั้งสองคันแล่นด้วยความเร็วไม่เกิน  80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และความเห็นของพ.ต.ท.ธนสิทธิ์  แตงจั่น (ยศในขณะให้การเพิ่มเติมเมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2559) ว่า จากการคำนวณหาความเร็วโดยวิธีใหม่ได้ความเร็วของรถยนต์ที่ผู้ต้องหาที่ 1 ขับขี่ประมาณ 79.23 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

 

ต่อมาเมื่อมีการร้องขอความเป็นธรรมในครั้งนี้อีกและมีการสอบสวนพยานบุคคลเพิ่มเติม คือ พล.อ.ท.จักรกฤช ถนอมกุลบุตร และ นายจารุชาติ มาดทอง เมื่อวันที่  4 ธันวาคม 2562 ได้ความว่า พยานทั้งสองขับรถยนต์แล่นตามหลังรถจักรยานยนต์คันที่ผู้ต้องหาที่ 2 ขับขี่มาด้วยความเร็วไม่เกิน 20 กิโลเมตรต่อชั่วโมง (ปรากฏในภาพวงจรปิด) ให้การว่าผู้ต้องหาที่ 1 ขับรถยนต์มาด้วยความเร็วประมาณ 50-60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

 

เมื่อพยานทั้งสองปากเป็นประจักษ์ยานในขณะเกิดเหตุได้ข้อเท็จจริงเพิ่มเติมในประเด็นสำคัญเกี่ยวกับคดีซึ่งข้อเท็จจริง ดังกล่าวสอดคล้องกับคำให้การของพยานผู้เชี่ยวชาญดังกล่าวข้างต้น ข้อเท็จจริงจึงเชื่อว่า ขณะเกิดเหตุผู้ต้องหาที่ 1 ขับรถยนต์แล่นมาในช่องทางเดินรถที่ 3 ซัดเกาะกลางถนนด้วยความเร็วไม่เกิน 80 กิโลกิเมตรต่อชั่วโมง

 

โดยมีนายจารุชาติ มาดทอง ขับรถกระบะแล่นมาในช่องทางเดินรถที่  2 ส่วนผู้ต้องหาที่ 2 ขับขี่รถจักรยานยนต์แล่นมาใน ช่องทางเดินที่ 1(ด้านซ้าย) แล้วผู้ต้องหาที่ 2 ได้ขับรถจักรยานยนต์ เปลี่ยนช่องทางเดินรถจากช่องทางที่ 1 ผ่านช่องทางเดินรถที่ 2 ที่ นายจารุชาติ ขับรถมา นายจารุชาติชะลอความเร็วของรถลง และหักพวงมาลัยหลบไปทางซ้ายมือ เพื่อไม่ให้ชนกับรถจักรยานยนต์ที่ผู้ต้องหาที่ 2 ขับขี่มา แต่รถจักรยานยนต์ที่ผู้ต้องหาที่ 2 ขับขี่มาได้แล่นเข้าไปในช่องทางเดินรถที่ 3 ที่ผู้ต้องหาที่ 1ขับรถยนต์แล่นมาในระยะกระชั้นชิด จึงทำให้รถยนต์คันที่ผู้ต้องหาที่ 1ขับขี่มาชนท้ายรถจักรยานยนต์คันที่ผู้ต้องหาที่ 2 ขับขี่มา  เป็นเหตุให้ผู้ต้องหาที่ 2 ถึงแก่ความตาย รถทั้งสองคันได้รับความเสียหาย

 

เมื่อเหตุที่เกิดขึ้นเกิดจากการที่ผู้ต้องหาที่ 2 ขับขี่รถจักรยานยนต์เปลี่ยนช่องทางเดินรถเข้าไปในช่องทางเดินรถที่ผู้ต้องหาที่ 1 ขับมาด้วยความเร็วไม่เกิน 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ในระยะกระชั้นชิดทำให้ผู้ต้องหาที่  1 ไม่สามารถหลบหลีกและหยุดรถได้ทันท่วงที เหตุที่เกิดขึ้นจึงเป็นเหตุสุดวิสัย มิใช่เกิดจากความประมาทปราศจากความระมัดระวังของผู้ต้องหาที่ 1 แต่เกิดจากความประมาทปราศจากความระมัดระวัง ของผู้ต้องหาที่ 2 ที่เปลี่ยนช่องทางเดินทางรถในระยะกระชั้นชิด การกระทำของผู้ต้องหาที่ 1 จึงไม่เป็นความผิดฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291คดีมีพยานหลักฐานไม่พอฟ้องผู้ต้องหาที่ 1 ในความผิดฐานนี้ และเป็นกรณีกลับความเห็นและคำสั่งเดิม ตามระเบียบสำนักงานอัยการสูงสุดว่าด้วยการดำเนินคดีอาญาของพนักงานอัยการ พ.ศ. 2547 ข้อ 6 วรรคท้าย ,44

 

อนึ่ง ฝ่ายผู้ต้องหาที่ 2 (ผู้ตาย) ได้รับการชดใช้ค่าเสียหายและสินไหมทดแทนจากฝ่าย ผู้ต้องหาที่ 1 จนเป็นที่พอใจและไม่ประสงค์จะดำเนินคดีทั้งทางแพ่งและทางอาญากับผู้ต้องหาที่ 1 อีกต่อไปแล้ว จึงมีคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้อง นายวรยุทธ  อยู่วิทยา ผู้ต้องหาที่ 1 ฐานกระทำโดยประมาทและการกระทำนั้นเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ.2560 มาตรา 4

 

พลิกคดีบอส อยู่วิทยา คำให้การ “จารุชาติ มาดทอง”

พลิกคดีบอส อยู่วิทยา คำให้การ “จารุชาติ มาดทอง”

พลิกคดีบอส อยู่วิทยา คำให้การ “จารุชาติ มาดทอง”

พลิกคดีบอส อยู่วิทยา คำให้การ “จารุชาติ มาดทอง”