ดร.พิสิฐ ลี้อาธรรม ในฐานะรองประธาน คณะกรรมาธิการ (กมธ.)วิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ. งบประมาณรายจ่าย ประจำปี 2565 เปิดเผยว่า ในการประชุม กมธ.งบประมาณฯ เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม ที่ผ่านมา ได้พิจารณางบประมาณของกระทรวงพัฒนาสังคม และความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) โดยมีปลัดกระทรวงเข้าร่วมประชุม ในการประชุมตนได้ให้ข้อคิดเห็นว่า วิกฤตโควิดครั้งนี้ว่า ส่งผลกระทบทางสังคมที่รุนแรงและกว้างขวางกว่าวิกฤตครั้งใด ๆ ในอดีต เมื่อสาธารณสุขเป็นแนวหน้า และกระทรวงแรงงานต้องเป็นแนวสองเพื่อลดผลกระทบด้านการจ้างงาน แต่ผลเสียหายต่อสังคมเป็นภาระกิจที่กระทรวงสังคมฯต้องเยียวยา ดูแลผลกระทบต่อกลุ่มเปราะบางต่าง ๆ
รองประธาน กมธ.งบฯปี 65 ขยายความถึงภาระกิจของกระทรวงพัฒนาสังคม ที่ต้องดูแลผลกระทบต่อกลุ่มเปราะบางต่าง ๆ ดังนี้ สตรี (67,600 คน) , เด็ก (2.8 ล้านคน) , ผู้สูงอายุ (117,013 คน) ,ผู้ไร้ที่พึ่ง (115,717 คน) ,ขอทาน (90,507 คน) จำนวนตัวเลขของผู้พึงได้รับการดูแลจะต้องเพิ่มมากขึ้น งบประมาณของกระทรวงที่ได้ในงบประมาณ 2565 จำนวน 24.6 พันล้าน อาจจะไม่เพียงพอแม้จะเพิ่มขึ้น 6% จากปีก่อนหน้า
ทั้งนี้ กระทรวงมี อสค.จำนวน 494,505 คนทั่วประเทศ นอกเหนือจาก อพส. ที่ดูแลคนสูงอายุ และ อพมก. ที่ดูแลคนพิการ (2.09 ล้านคน) บุคลากรเหล่านี้ควรต้องประสานกับ อสม. ของกระทรวงสาธารณสุขซึ่งมีจำนวนกว่าล้านคนทั่วประเทศ รวมทั้งอาจจะมีการระดมอาสาสมัครเช่นแพทย์และพยาบาลเข้ามาช่วยด้วย
ดร.พิสิฐ เสนอให้ พม. ร่วมมือกับวัดและศาสนสถานต่าง ๆ ในการรองรับคนขาดที่พึ่ง ซึ่งมักจะไปขออนุเคราะห์ที่วัดทั้งอาหารและที่พักอาศัย แม้แต่ถนนราชดำเนิน หากไปช่วงเช้ามืด จะเห็นคนไร้บ้านมานอนข้างถนนจำนวนมาก งบประมาณที่รัฐบาลใช้เพื่อรองรับคนเดือดร้อนเหล่านี้ นอกจากจะตั้งในกระทรวง พม. แล้วยังมีปรากฎในงบอุดหนุนทั่วไป
ภาษาที่ใช้สำหรับกระทรวงนี้พยายามเลื่ยงคำว่าสงเคราะห์แต่ใช้คำว่าหลักประกันทางสังคม ซึ่ง ดร.พิสิฐ เห็นว่าคำที่น่าจะใช้คือสวัสดิการสังคม (social welfare) เพื่อไม่ให้ซ้อนกับประกันสังคม (social security)
ผลกระทบอีกด้านหนึ่งจากวิกฤตโควิดคือคนที่นำบ้านไปจำนองเพื่อเป็นหลักประกันในการก่อหนี้และอาจจะสูญเสียที่อยู่อาศัย การเคหะควรดูแลให้อาคารที่ยังร้างหรือไม่มีผู้อยู่อาศัยได้มีการใช้งาน เพราะอาจมีประชาชนจำนวนหนึ่งที่อาจสูญเสียที่อยู่อาศัยของตน เพราะมีหนี้ที่ชำระไม่ได้
งานของกระทรวงพม.ถือได้ว่าอยู่ในเป้าหมายที่ UN ประกาศใน SDGs 17 ข้อถึง 4 ประการคือ การขจัดความยากจน (ข้อ1) การขจัดความหิวโหย (ข้อ2) การให้สิทธิเสมอภาคแก่สตรี (ข้อ5) การลดความเหลื่อมล้ำ (ข้อ10) เนื่องความหลากหลายของกลุ่มคนที่ พม. ต้องดูแล ดร.พิสิฐ จึงเสนอให้จัดทำ composite indicator เพื่อเป็นตัวชี้วัดความก้าวหน้า