การประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่ออภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล กำหนดให้มีขึ้นระหว่างวันที่ 31 ส.ค. - 3 ก.ย. และโหวตลงมติในวันเสาร์ที่ 4 ก.ย.2564
ในวันแรกของการอภิปราย นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย ในฐานะผู้นำฝ่ายค้าน ได้อภิปรายเปิดญัตติอภิปรายฯ ประกอบด้วย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม นายอนุทินชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุข นายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน นายศักดิ์สยาม ชิดชอบรมว.คมนาคม นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รมว.เกษตรและสหกรณ์ และ นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
ยกโควิดถล่มบิ๊กตู่-อนุทิน
นายสมพงษ์ ระบุตอนหนึ่งว่า พฤติการณ์ของ พล.อ.ประยุทธ์ บริหารผิดพลาด ฉ้อฉลและทุจริตต่อหน้าที่ ละเลยการปฏิบัติหน้าที่ต่อประเด็นการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 และการป้องกันโรคให้ประชาชน ทั้งการจัดหาวัคซีนทางเลือกวัคซีนที่มีประสิทธิภาพให้ประชาชน เครื่องมือตรวจเชื้อที่มีมาตรฐาน แต่การจัดหาเครื่องมือ และวัคซีนป้องกันโควิด ไม่มีแผนงาน ไร้ทิศทาง ทำให้เกิดความเสียหายกับประชาชน รวมถึงสร้างผลกระทบต่อเศรษฐกิจ ธุรกิจ และประชาชน
แม้รัฐบาลจะกู้เงินเพื่อแก้ปัญหาแต่พบการใช้จ่ายไร้ทิศทาง ไม่รักษาวินัยการเงินการคลัง สร้างหนี้สาธารณะชนเพดาน หนี้ครัวเรือนสูงเป็นประวัติการณ์ คนตกงาน ส่วนมาตรการที่รัฐบาลกำหนดนั้น ไม่สามารถบรรเทาความเดือดร้อนอย่างเพียงพอ”
“พล.อ.ประยุทธ์ ยังทุจริตต่อหน้าที่หลายเรื่อง ทั้งการกระจายวัคซีนที่เลือกปฏิบัติ การซื้อวัคซีนที่เลี่ยงกฎหมายจัดซื้อจัดจ้าง พล.อ.ประยุทธ์มีลักษณะค้าความตายร่วมกับนายอนุทิน ที่หวังกอบโกยประโยชน์บนคราบนํ้าตาประชาชน”
สำหรับนายอนุทิน ไร้ความสามารถที่จะทำให้สถานการณ์ระบาดโควิด-19 ยุติลง มุ่งแสวงหาประโยชน์จากการจัดหาวัคซีน
เรียกร้องนายกฯลาออก
ผู้นำฝ่ายค้าน ยํ้าว่า รัฐบาลของพล.อ.ประยุทธ์ และพวก คือ รัฐบาลที่กล้าค้าความตายกับประชาชนไม่เร่งหาจัดหาวัคซีนที่มีประสิทธิภาพขอให้ พล.อ.ประยุทธ์ลาออกจากตำแหน่ง มีประชาชนเรียกร้องให้รัฐบาลลาออกเช่นกัน จึงขอให้ส.ส.หยุดมองประโยชน์ส่วนตน เปิดหัวใจมองเห็นชีวิตประชาชน ร่วมเจตจำนงกับ ประชาชนให้ พล.อ.ประยุทธ์ ลาออก
“ส.ส.รัฐบาลต้องเข้าใจว่า พล.อ.ประยุทธ์ คือผู้นำคือความอับ อายของประเทศ ไม่สามารถทำให้ประเทศพ้นวิกฤติิ ไม่ใช่ผู้นำที่แก้ปัญหาใดๆ ไม่ใช่ผู้นำของอนาคตหรือความหวังของลูกหลาน แต่คือสิ่งไร้ค่าไร้ความหมายในความทรงจำของคนรุ่นต่อไป ผมและพรรคฝ่ายค้านเห็นว่า ไม่อาจไว้วางใจให้ พล.อ.ประยุทธ์ ทำหน้าที่บริหารราชการต่อไป”
ไม่ร่วมโคแวกซ์ไร้เงินทอน
ด้าน นายประเสริฐ จันทรรวงทอง เลขาธิการพรรคเพื่อไทย อภิปรายตอนหนึ่งว่า การแก้ปัญหาโควิดที่ขณะนี้ยอดผู้ป่วยสะสม วันที่ 31 ส.ค. 1.2 ล้านคน มีผู้ป่วยเสียชีวิตสะสม 11,589 คน แต่เป็นที่น่าสังเกตใกล้เวลาอภิปรายตัวเลขกับลดลง ซึ่งตนไม่เชื่อ สิ่งเหล่านี้ต้องพิสูจน์เพื่อหาข้อเท็จต่อไปว่าตัวเลขนี้เป็นการปรับปรุงขึ้นเพื่อการอภิปรายหรือไม่
ส่วนการสื่อสารล้มเหลว ยกตัวอย่างปฏิบัติการสายด่วนของท่านล้มเหลวไม่เป็นท่า ประชาชนต้องนอนรอความตายอยู่บ้าน เช่นเดียวกับแอพหมอพร้อมที่เปิดให้ประชาชนลงทะเบียนฉีดวัคซีนแต่เมื่อถึงวัดนัด แต่ถูกเลื่อนอย่างไม่มีกำหนด กลายเป็นผู้นำที่กลืนนํ้าลายตัวเองไม่เคยพูดความจริงกับประชาชน
“นายอนุทิน ให้สัมภาษณ์ ว่า โควิดเป็นโรคหวัดโรคหนึ่ง และยังให้สัมภาษณ์อีกเมื่อวันที่ 17 ก.พ.ที่ผ่านมาว่า วัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า ที่ผลิตในประเทศ อยู่เต็มแขนของพี่น้องคนไทยแล้ว ทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ และนายอนุทิน มีความเกี่ยวพันกันในอำนาจหน้าที่ร่วมกันหาวัคซีนที่ไม่มีประสิทธิ ภาพมีราคาแพงมาฉีดให้คนไทย เพื่อหาผลประโยชน์ปิดกั้นวัคซีนที่มีประสิทธิภาพสูงสุด เพราะไม่มีตังค์ทอนบริหารผิดพลาดมีคนตายวันละ 300 คน เป็นสิ่งที่บ่งบอกว่าขาดซึ่งองค์ความรู้ไร้ซึ่งภูมิปัญญา มุ่งหาผลประโยชน์ให้ตนเองและพวกพ้อง มีพฤติกรรมค้าความตาย”
นายประเสริฐ อภิปรายถึงความล้มเหลวว่า ตั้งแต่การระบาดตั้งแต่ปี 2563 ท่านไม่ประเมินผลไม่ประเมินการสั่งการของตัวเอง มีการระบาดคลัสเตอร์ใหญ่ถึง 4 ครั้ง นายอนุทิน กลับไม่กวดขัน ไม่รอบคอบจนทำให้ระบบสาธารณสุขล้มเหลวและโยนความผิดให้กับประชาชน
ล้มเหลวจัดหาวัคซีน
ส่วนการจัดหาวัคซีนผิดพลาดล้มเหลว วางแผนการจัดหาก็ล้มเหลวไม่ขวนขวายหาวัคซีน และไม่เตรียมหาวัคซีนทางเลือกตั้งแต่ต้น วัคซีนซิโนแวคเป็นวัคซีนที่ไม่มีประสิทธิผลสูง ในการสร้างภูมิคุ้มกันโรคที่กลายพันธุ์เป็นเดลต้าแล้ว แต่ยังมีการสั่งซื้อวัคซีนซิโนแวคอย่างต่อเนื่อง ซึ่งประสิทธิภาพในการสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ต้องมี 70% ถ้าไม่ถึง ไม่สามารถสร้างภูมิได้เลย รวมถึงผิดพลาดที่ไม่เข้าร่วมโครงการโคแวกซ์ ซึ่งหากเข้าร่วมจะทำให้ประเทศมีความมั่นคงด้านวัคซีน ประเทศอาเซียนเขาเข้าโครงการโคแวกซ์ หมดแล้ว และได้รับการสนับสนุนวัคซีน 33 ล้านโดส มีเพียงประเทศไทยที่ผิดพลาด
“พล.อ.ประยุทธ์ เจตนาที่จะไม่เข้าร่วมโครงการดังกล่าวตั้งแต่ต้น อ้างเหตุต่างๆ นานา เหตุผลทั้งหลายฟังไม่ขึ้น ไม่เข้าร่วมโครงการโคแวกซ์เพราะไม่มีตังค์ทอน พล.อ.ประยุทธ์ ทำให้ประเทศเสียหายโดยรู้เห็นเป็นใจกับนายอนุทิน ผมมีหลักฐานเป็นข้อสั่งการของนายกฯ ที่ให้นโยบายต่อกระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงต่างประเทศ ในการไม่เข้าร่วมโครงการโคแวกซ์”
อีกทั้งยังเพิกเฉยต่อข้อเรียกร้องของเอกชน กีดกันไม่ให้ภาคเอกชนนำเข้าวัคซีนทางเลือกตั้งแต่ ไปปี 2563 จนถึงปัจจุบัน แต่ภายหลังต้านกระแสความรู้สึกของประชาชนไม่ได้จึงทำทีเปิดโอกาสให้เอกชนนำเข้าวัคซีนได้ เองแต่ติดปัญหาอุปสรรคหลายเดือน ขณะที่การกระจายทรัพย์สินล้มเหลวเป็นวัคซีนการเมือง มั่วไม่เป็นระบบ บางพื้นที่สีแดงเข้มกับไม่ได้รับการฉีดแบบเร่งด่วน
ปูดค่าส่วนต่าง 2 พันล้าน
นายประเสริฐ ยังระบุว่า พบพฤติกรรมที่ส่อว่าทุจริต และมีเงินทอน โดยได้นำเอกสารที่ระบุว่า ได้มาจากข้าราชการกระทรวงสาธารณสุข และเอกสารที่ระบุไว้ในบันทึกการประชุมของกรรมาธิการ (กมธ.) การคุ้มครองผู้บริโภค สภาฯ แสดงประกอบการอภิปรายว่า รัฐบาลมีมติครม.เพื่อจัดซื้อวัคซีนซิโนแวค จำนวน 5 ครั้ง โดย ครม. อนุมัติวงเงินจัดซื้อที่ 17 เหรียญดอลลาร์สหรัฐฯต่อหนึ่งโดส ทุกครั้ง แต่พบว่าทุกครั้งบริษัทที่ จำหน่ายวัคซีนให้นั้น ได้ลดราคาให ้ต่อเนื่อง โดยครั้งที่สอง บริษัทขายวัคซีนที่ 15 เหรียญดอลลาร์สหรัฐฯ, ครั้งที่สามขายให้ 14 เหรียญดอลลาร์สหรัฐฯ, ครั้งที่สี่ ขายให้ 9.5 เหรียญดอลลาร์สหรัฐฯ และ ครั้งที่ห้า ขายให้ 9 เหรียญดอลลาร์สหรัฐฯ
“เมื่อรวมราคาที่ ครม.อนุมัติ รวม 331 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือคิดเป็นเงินบาท คือ 10,846 ล้านบาท แต่ราคาที่จัดซื้ออยู่ที่ 267 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือคิดเป็นเงินไทย 8,748 ล้านบาท ดังนั้น ค่าส่วนต่างที่มี คือ 2,098 ล้านบาท พล.อ.ประยุทธ์ต้องชี้แจงว่าเงินทอน หรือค่าส่วนต่างอยู่ที่ไหน พร้อมนำเอกสารมาชี้แจงต่อสภาฯ ไม่เช่นนั้นจะถือว่าตั้งใจโกง”
นายประเสริฐ อภิปรายด้วยว่า การจัดซื้อซิโนแวค เป็นการจัดซื้อแบบเชิงพาณิชย์ ไม่ใช่การซื้อแบบรัฐต่อรัฐ แม้ไม่มีตัวแทนจำหน่ายในเมืองไทย แต่พบว่ามีนายหน้า มีเงินทอน ทำให้การนำเข้าวัคซีนคุณภาพตํ่า เพราะไม่มีหลักฐานวิชาการอ้างอิง อีกทั้งองค์การอนามัยโลกไม่รับรอง และมีหลายหน่วยงานทักท้วงต่อการจัดซื้อวัคซีนที่ต้องมีคุณภาพ นอกจากนั้นยังพบว่า การจัดซื้อมีราคาสูง เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่น เช่น บราซิล, อินโดนีเซีย
“ผมขอกล่าวหา พล.อ.ประยุทธ์และนายอนุทิน จงใจละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ต่อตำแหน่งราชการ ไม่ซื่อสัตย์ รวมถึงร่วมจัดหาจัดซื้อวัคซีนไม่โปร่งใส แสวงหาประโยชน์บนความตายและกีดกันวัคซีนที่มีประสิทธิภาพสูงกว่า ผูกขาดตัดตอนให้มีวัคซีนยี่ห้อเดียว เอื้อประโยชน์ให้เอกชน ทำให้วัคซีนขาดแคลน ดังนั้น ขอให้ พล.อ.ประยุทธ์ และนายอนุทิน ลาออก ตามข้อเรียกร้องของประชาชน” เลขาธิการพรรคเพื่อไทย ระบุ
หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 3,710 หน้า 12 วันที่ 2 - 4 กันยายน 2564