หมอชลน่าน จ่อร้อง ปปช. งัด ม.157 เอาผิด"บิ๊กตู่-อนุทิน" ปมบริหารโควิดล้มเหลว

วันที่ 31 ส.ค.  2564 ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อพิจารณาญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล  ในวันแรก นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน พรรคเพื่อไทย อภิปรายไม่ไว้วางใจว่า   พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม กับนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และรมว.สาธารณสุข บริหารผิดพลาดอย่างร้ายแรง จนเป็นมูลเหตุที่เกิดขึ้น จำนวน 3 ข้อ คือ 

1."ประยุทธ์" กับ "อนุทิน"ไร้ภูมิปัญญาในการแก้ไขปัญหา สั่งการไม่อยู่บนพื้นฐานของข้อมูลที่เป็นจริง 

2.พล.อ.ประยุทธ์ รวบอำนาจ ซึ่งเป็นโรคที่เกิดเฉพาะผู้นำ ที่อยู่ในอำนาจอย่างยาวนาน คือ การเสพติดอำนาจ ยืนยัน พล.อ.ประยุทธ์ เป็นโรคหลงตัวเองที่สำคัญชอบแสวงหาผลประโยชน์ ถึงวันนี้หนักกว่าเดิม คือเป็นโรคโอหังคลั่งอำนาจ ทำให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรง

3.นายกรัฐมนตรี เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว พวกพ้อง ใช้ความฉ้อฉลทุจริต ทำหน้าที่เพื่อให้ได้ประโยชน์ เป็นการรวบอำนาจบริหารมาอยู่ที่ตัวเอง

นายแพทย์ชลน่าน กล่าวต่อว่า ขอกราบเรียนว่า เมื่อผู้นำไร้ภูมิปัญญา ไร้ภาวะผู้นำ สิ่งที่ท่านทำ คือ การออกข้อสั่งการ ผมไม่กล้าเรียกเป็นผู้นำประเทศ หรือเป็นผู้บริหาร แต่เขาเป็นแค่ผู้สั่งการ เท่านั้นเอง แต่รวบอำนาจไว้แต่เพียงผู้เดียว

และเรื่องเลวร้ายที่สุด ทำให้เกิดวิกฤติที่สุด คือ การสื่อสารของผู้นำคนนี้ ที่ไม่สามารถทำได้ ไม่สามารถสื่อสารให้ประชาชนทราบได้ว่า ต้องทำอย่างไร ในภาวะวิกฤติโควิด-19 

ส่วนกรณี ผลการตรวจเชื้อโควิด-19 ที่ตัวเลขผู้ติดเชื้อลดลงมาตลอด ตั้งแต่ช่วงกลาง ส.ค. ที่ตัวเลขลดลง เชื่อว่ามีการปั้นตัวเลขขึ้นมา ความจริงมันไม่ใช่ เพราะมีการตรวจ ATK น้อย ผลคนติดเชื้อก็เลยน้อย ตามไปด้วย

นายแพทย์ชลน่าน ยังย้ำว่า พล.อ.ประยุทธ์ ทำงานรวบอำนาจไว้ทั้งหมด ทำคนเดียว สั่งคนเดียว ที่สำคัญเอาทหารมาเป็นหมอรักษาโรค ทำไมไม่เอาหมอมารักษาโรค นั่นคือเหตุผล ที่ทำให้แก้ปัญหาโควิด-19 ไม่ได้

 "ทั้งนี้อภิปรายเสร็จแล้ว เราจะส่งฟ้องต่อ ป.ป.ช. เพราะรัฐบาลทุจริตมีการเรียกรับผลประโยชน์ และไม่ปฏิบัติตาม มติ ครม.เมื่อวันที่ 2 มี.ค.2564 รวมไปถึงข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี วันที่ 21 พฤษภาคม 2564 แล้วไม่มีการกำกับดูแลสิ่งที่สั่งการของตัวเอง  นายอนุทิน รองนายกฯ และรมว.สธ. ก็ไม่ได้ทำ แบบนี้ ละเว้นปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ผิด ม.157 หรือไม่"