ประธานศาลฎีกาแนะทุกหน่วยงานต้องทำให้คนชั่วได้รับผลจากการทุจริตโดยเร็ว

17 ก.ย. 2564 | 07:19 น.
อัปเดตล่าสุด :17 ก.ย. 2564 | 14:35 น.

“ประธานศาลฎีกา”ชี้กระบวนการยุติธรรมทุกหน่วยงานต้องทำให้คนชั่วได้รับผลจากการทุจริตโดยเร็ว แนะให้ความสำคัญการพิจารณาคดีโกงลำดับแรกๆ

วันนี้ (17 ก.ย.64) นางเมทินี ชโลธร ประธานศาลฎีกา บรรยายพิเศษเรื่อง “บทบาทของกระบวนการยุติธรรมกับการแก้ไขปัญหาการทุจริตของประเทศไทย” ในเวทีสัมมนาสาธารณะ เรื่อง “กลยุทธ์การยกระดับคะแนนดัชนีการรับรู้การทุจริตของประเทศ” ซึ่งจัดขึ้นโดยนักบริหารยุทธศาสตร์การป้องกันและปรับปรามการทุจริตระดับสูง (นยปส.)  รุ่นที่ 12 ตอนหนึ่งว่า ช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา เราคาดหมายกันว่าการทุจริตในประเทศไทยน่าจะลดลงบ้าง เพราะมีการป้องกันและปราบปราม ส่งดำเนินคดี และศาลพิพากษาไปแล้วจำนวนมาก

 

แต่จากปริมาณคดีที่อยู่ในศาล ป.ป.ช.  ป.ป.ท. เราอาจต้องยอมรับความจริงว่าเราอาจจะยังไปไม่ถึงเป้าประสงค์นั้นในเร็ววันนี้ แต่เชื่อว่าเรามาถูกทางแล้ว ไม่ผิดหรอกที่คนจะกระทำผิดมากขึ้นในสภาพสังคมที่ต้องต่อสู้กับการปากกัดตีนถีบอย่างที่เห็นทุกวันนี้ เพราะไม่มีใครอยากจะอยู่ในพื้น หรือฐานของคนอื่น แต่อยากจะอยู่ระดับที่สูงกว่าและมีอำนาจเหนือกว่าทั้งสิ้น

 

นางเมทินี กล่าวว่า ตนเคยคุยกับผู้ต้องขังหลายรายที่กระทำผิดไป ทั้งที่เขารู้ว่าการกระทำของเขาถ้าถูกจับกุมดำเนินคดี อาจถูกจำคุกหรือหนักกว่านั้น  แต่คนกลุ่มนี้ยังเลือกกระทำทุจริตประพฤติมิชอบ เมื่อสอบถามได้รับคำตอบว่าขณะที่เขาทำไม่คิดว่าจะโดนจับ หรือพูดง่ายๆ ขณะตัดสินใจกระทำผิดเขาคิดว่ามีโอกาสรอด  จากการที่เห็นหลายๆ คน หลายๆ กลุ่มที่ก็ยังสามารถรอด ลอยหน้าในสังคมได้

“เป็นสิ่งกระบวนการยุติธรรมต้องกลับมามองตัวเองว่า ในฐานะที่เราเป็นปลายทางของการแก้ไขปัญหาการกระทำความผิด เมื่อคนคิดว่าเขาทำความผิดแล้วจะรอด สะท้อนให้เห็นว่ากระบวนการยุติธรรมมีปัญหาแล้ว กระบวนการยุติธรรมไม่สามารถทำให้เขาเชื่อมั่น หรือ ทำให้เขาเกรงกลัวว่าเมื่อไหร่ที่เขาขยับไปทำความผิด เขาจะต้องถูกจับกุมไปดำเนินคดี เมื่อคนคิดว่าเขาคุ้มค่าที่จะเสี่ยง”

 

นางเมทินี กล่าวว่า การกระทำการทุจริตยังเป็นเรื่องการก่ออาชญากรรมที่มีความร้ายแรง แต่ไม่เห็นสภาพของความรุนแรงเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตา  ไม่เห็นคนที่เลือดตกยางออก ไม่เห็นการบาดเจ็บ ไม่เห็นสายตาของการถูกทำร้ายเหมือนความผิดฆ่าคนตาย

 

เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วคนก็รู้สึกว่าทำได้ง่าย ไม่ต้องกระทบกระเทือนความรู้สึก คนกระทำความผิดทุจริตไม่ได้เห็นผลที่เกิดขึ้นด้วยตาตนเอง และเขาจะคิดว่าเป็นประโยชน์กับตัวเขาเองเลยกล้าที่จะทำ ความผิดในลักษณะนี้จับก็ยาก เพราะเป็นการสมประโยชน์กัน คนให้ก็ยินดีให้  เพราะสิ่งที่ให้ไปคุ้มค่าที่จะเสีย คนรับก็คิดว่าเป็นโอกาสของตัวเองที่จะรับ ดังนั้น กระบวนการยุติธรรมจะยอมรับสิ่งเหล่านี้ไม่ได้

 

“เราเคยได้ยินกันว่า คนทำชั่วจะคิดว่าสิ่งที่ตัวเองทำนั้นเป็นเรื่องที่ดี  จนกว่าความชั่วนั้นจะให้ผล กระบวนการยุติธรรมจึงต้องสงเคราะห์ให้เขาได้เห็นผลเร็วๆ ดิฉันคิดว่าหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรมทุกหน่วย ไม่ว่าจะเป็นพนักงานสอบสวน ป.ป.ช. ป.ป.ท. อัยการ ศาล รวมไปถึงหน่วยงานที่รองรับคนผิดอย่างกรมราชทัณฑ์นั้น จะต้องปรับบทบาทของตนเองในการทำหน้าที่ โดยเน้นให้เห็นความสำคัญ 5 ประการ ได้แก่ ความถูกต้อง เป็นธรรม แม่นยำ รวดเร็ว และโปร่งใส่ ตรวจสอบได้”

                                     เมทินี ชโลธร ประธานศาลฎีกา

ประธานศาลฎีกา กล่าวด้วยว่า เรื่องความรวดเร็วถือเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง เพราะความยุติธรรมที่ล่าช้าคือ ความอยุติธรรม แม้ศาลและหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรมทุกส่วนจะพยายามกำหนดมาตรฐานระยะเวลาเพื่อให้มีการพิจารณาคดีที่มีความผิดทางอาญาให้เสร็จในเวลารวดเร็ว แต่ด้วยปริมาณ หรือเหตุจำเป็น  รวมไปถึงสถานการณ์โควิด-19 ขณะนี้ ก็ทำให้กระบวนในการพิจารณาพิพากษาคดีอาจมีความล่าช้าไปบ้าง  แต่เราจำเป็นต้องเน้นย้ำให้ความสำคัญกับคดีทุจริตเป็นเรื่องแรกๆ เรื่องต้นๆ 

      

เพราะการกระทำผิดที่ต้องใช้ระยะเวลายาวนาน สมมุติว่า 4-5 ปี ที่จะลงโทษได้จนกระทั่งถึงในชั้นคำพิพากษาถึงที่สุด ทำให้คนไม่เกรงกลัวแล้ว เพราะลืมเรื่องราวนั้นไปแล้ว ในขณะที่เกิดเรื่องใหม่ๆ เป็นเรื่องอยู่บนหน้าสื่อทุกฉบับ ทุกช่อง เป็นเรื่องที่ดูร้ายแรง แต่กว่าที่จะผ่านเข้าสู่กระบวนการศาลพิพากษาลงโทษ ใช้เวลานานจนคนลืมเรื่องราว  ลืมความร้ายแรงและรุนแรง คนจึงขาดความยับยั้งชั่งใจที่จะเกรงกลัวความผิดที่จะได้รับ ดังนั้น ความรวดเร็ว ฉับพลันในสถานการณ์ หรือ ในคดีบางประเภทมีความจำเป็น และจะส่งผลทำให้แก้ไขปัญหาที่จะเกิดการกระทำความผิดในลักษณะเดียวกันนั้นได้ด้วย

 

นางเมทินี กล่าวว่า เรื่องความโปร่งใสตรวจสอบได้ แน่นอนว่าเราทำหน้าที่ในการค้นหาความจริงว่ามีการกระทำความผิดจริง คนที่ถูกกล่าวหาหรือจำเลยคนนั้นเป็นผู้กระทำความผิด ดังนั้น คนที่จะเป็นคนทำหน้าที่ค้นหาความจริง  พิสูจน์ความผิด จะต้องไม่ทุจริตเสียเอง นอกจากนี้ ยังต้องสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนได้ด้วยว่า เราจะทำงานด้วยความซื่อสัตย์ สุจริตอย่างแท้จริง

 

อย่างไรก็ตาม อีกส่วนที่สำคัญคือ การคัดเลือกคนเข้ามาทำงานในองค์กรตั้งแต่ต้นทางเป็นเรื่องความสำคัญ ไม่ใช่เพียงความรู้ความสามารถ แต่ต้องมีทัศนคติที่ดี ต้องมีคุณธรรม จริยธรรม มีความซื่อสัตย์สุจริต เป็นที่เชื่อมั่นศรัทธาได้ และตลอดระยะเวลาของการทำงานซึ่งจะจะยาวนานสำหรับข้าราชการในแต่ละส่วนงาน ต้องมีการตรวจสอบการทำงานสม่ำเสมอ ไม่ใช่เพื่อการจับผิด แต่เพื่อดูคนของเราที่จะไปทำสิ่งที่มีความสำคัญ

 

เราจะไปตรวจสอบคนอื่น ตัวเราเองต้องสุจริตเสียก่อน และต้องทำให้เห็นว่าเราสุจริตจริง เชื่อว่าทุกองค์กรมีทั้งคนดีและไม่ดีปะปนกัน เราไม่มีทางทำให้ทุกคนเป็นคนดี และไม่ต้องอายที่มีคนไม่ดีอยู่ในองค์กร แต่เราจะอายถ้าปล่อยให้คนไม่ดีอยู่ในองค์กรของเรามากกว่า