วันที่ 25 พ.ย.2564 น.พ.ระวี มาศฉมาดล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังธรรมใหม่ เปิดเผยว่า จากกรณีที่มีข่าวการควบรวมธุรกิจโทรคมนาคมระหว่างกลุ่มเทเลเนอร์ หรือดีแทค และบริษัท ทรูคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ซึ่งปัจจุบันบริษัท เอไอเอส มีลูกค้า 44 ล้านราย บริษัทรูมีลูกค้า 32 ล้านราย และบริษัทดีแทคมีลูกค้า 20 ล้านราย ถ้ามีการควบรวมกิจการจะทำให้บริษัทใหม่มีลูกค้า 52 ล้านราย ซึ่งจะครองการตลาดมากกว่าร้อยละ 50 ซึ่งในอนาคตจะมีผลกระทบต่อการแข่งขันการบริการและราคา ค่าบริการ ซึ่งจะก่อให้เกิดผลเสียต่อประชาชนที่เป็นผู้บริโภคอย่างแน่นอน
โดยก่อนหน้านี้มีการควบรวมกิจการค้าปลีก-ค้าส่ง ของแมคโครและโลตัส มีการคัดค้านจากประชาชน จํานวนมาก แต่ท้ายที่สุดคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า กลับอนุมัติให้ควบรวมกิจการได้ ซึ่งการควบรวม กิจการดังกล่าวจะส่งผลต่อกิจการค้าส่ง-ค้าปลีกขนาดกลาง ขนาดเล็กของประชาชนตามมา ซึ่งอาจจะถึงขั้น ล้มละลายได้
สถานการณ์ทางเศรษฐกิจในขณะนี้ได้รับผลกระทบอย่างมากจากการระบาด ของโรคติดเชื้อโควิด - 19 ทำให้ธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลางประสบปัญหาอย่างรุนแรง แต่ธุรกิจขนาดใหญ่ สามารถใช้ความได้เปรียบจากส่วนแบ่งการตลาดที่มากกว่ามีช่องทางการตลาดที่กว้างขวางหลากหลายกว่า สภาพคล่องที่ดีกว่าเข้าครอบครองขยายส่วนแบ่งการตลาดมากขึ้นเรื่อย ๆ จนทำให้มีลักษณะที่อาจเป็น การผูกขาด กีดกันรายใหม่ได้ ในระยะต่อไปอาจทำให้ทุนใหม่ ๆ ขนาดกลาง ขนาดเล็กไม่สามารถเติบโตได้ เป็นการบิดเบือนโครงสร้างทางธุรกิจในประเทศให้มีแต่ทุนผูกขาดขนาดใหญ่ในกิจการที่ประชาชน มีความจําเป็นต้องบริโภค เป็นการขัดหลักการค้าที่เสรีและเป็นธรรม
“ผมจึงขอเสนอญัตติด่วนให้สภาฯตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญ พิจารณาศึกษาผลกระทบต่อประชาชน กรณีการควบรวมธุรกิจโทรคมนาคมและการค้าปลีก-ค้าส่ง ตลอดจน ผลกระทบจากการขยายตัวของทุนขนาดใหญ่ที่กระทบต่อทุนขนาดกลาง ขนาดเล็ก เกิดการขยายช่องว่าง ของความเหลื่อมล้ำในสังคมไทย เพื่อหามาตรการคุ้มครองประชาชนผู้บริโภค และธุรกิจ SME”นพ.ระวี กล่าว