วันนี้ (6 ม.ค.64 ) เวลา 08.30 น. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เจ้าหน้าที่ประจำกรุงเทพฯ ได้เริ่มกระบวนการรับสมัครเลือกตั้งส.ส. เขต 9 กทม. แทนตำแหน่งที่ว่าง โดยได้มีการทำความเข้าใจเกี่ยวกับขั้นตอนการรับสมัครให้ผู้สมัครทั้ง 6 คนได้รับทราบ ก่อนที่ผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำเขตเลือกตั้งที่ 9 จะจับสลากเลือกลำดับผู้สมัครเพื่อจับหมายเลขและยื่นใบสมัคร
โดย นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี ได้จับหมายเลขผู้สมัครเป็นคนแรก และได้หมายเลข 2 เป็นหมายเลขประจำตัว ตามมาด้วย น.ส.กุลรัตน์ กลิ่นดี พรรคยุทธศาสตร์ชาติ ได้หมายเลข 4 เป็นหมายเลขประจำตัว
นายรุ่งโรจน์ อิบรอฮีม พรรคไทยศรีวิไลย์ ได้หมายเลข 5
นายพันธุ์เทพ ฉัตรนะรัชต์ พรรคไทยภักดีได้ หมายเลข 1
นายสุรชาติ เทียนทอง พรรคเพื่อไทย ได้หมายเลข 3
นางสรัลรัศมิ์ เจนจาคะ พรรคพลังประชารัฐได้หมายเลข 7
และ นายกรุณพล เทียนสุวรรณ พรรคก้าวไกล ได้หมายเลข 6
จากนั้นผู้สมัครได้เข้ายื่นเอกสารการรับสมัคร โดยเจ้าหน้าที่รับสมัครเลือกตั้ง ได้ประชาสัมพันธ์ให้ผู้สมัครทราบว่า ขณะนี้ผู้สมัครได้รับหมายเลขประจำตัวในการหาเสียงเลือกตั้งแล้วขอให้ระมัดระวังในเรื่องการหาเสียงรื่นเริง กลองยาว แตรวง เพราะจะเข้าข่ายผิดกฎหมายเลือกตั้ง
อย่างไรก็ตามผู้สมัครพรรคครูไทยหลักฐานการเสียภาษีย้อนหลัง 3 ปีไม่ครบถ้วนการรับสมัครไม่ครบถ้วนทำให้ไม่สามารถร่วมจับหมายเลขผู้สมัครได้
ขณะที่กลุ่มผู้สนับสนุนที่รออยู่บริเวณด้านหน้าสำนักงานเขตหลักสี่เมื่อทราบว่าผู้สมัครได้รับหมายเลขแล้วต้องการติดหมายเลขของผู้สมัครบนป้ายหาเสียงและรถหาเสียง พร้อมกับส่งเสียงแสดงความยินดีและเริ่มหาเสียงให้กับผู้สมัครทันที
นายชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า เป็นเรื่องที่ดีมากที่นายสุรชาติจับได้หมายเลข 3 เลขประจำตัวประชาชนจะจดจำได้ง่าย ตอนนี้จะเร่งหาเสียงทางในพื้นที่หลักสี่ จตุจักร
ด้านนายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ กล่าวถึงการที่นายรุ่งโรจน์ ได้รับหมายเลข 5 เป็นหมายเลขประจำตัวว่า เป็นหมายเลขที่อยู่ในใจอยู่แล้ว อย่าชวนพี่น้องอาชีวะวินมอเตอร์ไซค์คนหาเช้ากินค่ำ เลือกเบอร์ 5 ผู้สมัครของพรรคได้รับรองไม่ผิดหวัง เพราะเราพร้อมที่จะแก้ไขปัญหาเรื่องเศรษฐกิจปากท้อง คลองสวยน้ำใส เราจะหาเสียงด้วยความบริสุทธิ์ยุติธรรมไม่มีการซื้อเสียง เพราะเราไม่ต้องการเป็นโจรมาดูแลพื้นที่หลักสี่
นายรุ่งโรจน์ กล่าวว่า เน้นการหาเสียงให้ประชาชนรู้จักตน เพราะมาด้วยใจตั้งใจจะมาทำเพื่อประชาชน เรื่องการซื้อเสียงยืนยันว่าไม่มี
นางสรัลรัศมิ์ กล่าวว่า เบอร์ 7 เป็นเลขนำโชคส่วนตัวของตน เพราะเกิดวันที่ 1 เดือน 7 ปี 1971 หลังจากนี้ก็จะลงพื้นที่หาเสียงทันทีมีความมั่นใจเต็มร้อยว่าจะสามารถรักษาเก้าอี้ไว้ให้กับพรรคพลังประชารัฐได้ เพราะพรรคอยู่เคียงข้างประชาชนในยามวิกฤตดูแลเรื่องปากท้องของประชาชนซึ่งเป็นเรื่องเร่งด่วนขอให้พี่น้องชาวหลักสี่เลือกส.ส.ที่ทำงานจริงสามารถเข้าถึงได้ทุกเวลา แก้ไขปัญหาความเดือดร้อนให้กับพี่น้องได้อย่างรวดเร็ว
นายสิระ เจนจาคะ อดีตส.ส. ก็มั่นใจว่า จะสามารถรักษาฐานเสียงในเขตหลักสี่ไว้ได้และมั่นใจว่าจะได้คะแนนมากกว่าเดิมเพราะที่ผ่านมาได้ทำผลงานไว้เป็นที่ประจักษ์ว่าอยู่เคียงข้างประชาชนมาโดยตลอด มีการพัฒนาในทุกมิติจึงอยากขอความเมตตาจากพี่น้องชาวหลักสี่ว่าเขาให้เลือกเรามายืนอยู่เคียงข้างประชาชนเหมือนเดิม เพราะนางสรัลรัศมิ์ไม่ใช่คนหน้าใหม่ทำงานเคียงข้างกับประชาชนมาตลอด ซึ่งคิดว่าในพื้นที่เมื่อการดูแลดีอยู่แล้ว ชาวหลักสี่ก็ไม่น่าจะไปลองของใหม่
"คนหลักสี่ไม่ได้ต้องการคนไหว้สวยเพื่อขอเป็นผู้แทนแต่ต้องการคนที่เชื่อมั่นในการดูแลพวกเขา อยากขอความเมตตาจากพี่น้องชาวหลักสี่ว่าจะให้ครอบครัวของเราดูแลพี่น้องต่อไปหรือไม่"
เมื่อถามว่าเรื่องคดีความจะมีผลต่อการเลือกตั้งหรือไม่นายสิระกะว่าเป็นคนละเรื่องคดีความเป็นเรื่องเมื่อ 30 ปีที่แล้ว ซึ่งเราก็มองว่าคดียังไม่ถึงที่สุดขนาดตุลาการก็ยังมองต่างกัน ว่าคดีนี้มันจบอย่างไรแต่ไม่เป็นไรส่วนตัวก็จะขอสานงานต่อดูแลประชาชนต่อไป
นายกรุณพล เทียนสุวรรณ ผู้สมัครหมายเลข 6 จากพรรคก้าวไกล ยืนยันว่าจริงๆ อยากได้เบอร์ 3 แต่ได้จับหมายเลขเป็นคนสุดท้าย ก็เหมือนไม่ได้เลือกซึ่งเลข 6 ก็ถือว่าเป็นเลขมงคลเช่นเดียวกัน ส่วนนโยบายเร่งด่วนในขณะนี้ก็จะเน้นเรื่องของการจัดหาและรณรงค์ให้ผู้ที่ยังไม่ฉีดวัคซีนเข้ารับการฉีดวัคซีนเพื่อให้ทันกับการแพร่ระบาดของเชื้อโควิค 19 สายพันธุ์ โอมิครอน
ส่วนที่ขณะนี้เริ่มมีการหาเสียงในลักษณะโจมตีด้อยค่าผู้สมัครว่าเป็นเรื่องปกติในทางการเมืองที่มีการใช้ช่องทางต่างๆรวมทั้งเฟคนิวส์ แต่เราก็มั่นใจในจุดยืนและนโยบายของพระว่าจะสามารถช่วยขับเคลื่อนประเทศนี้ไปในทางที่ดีขึ้นได้
นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวว่า มั่นใจว่าผู้สมัครของพรรคจะได้รับเลือกตั้งเพราะว่าเราทำการทำงานอย่างเต็มที่ไม่ว่าจะเป็นที่หลักสี่ หรือการเลือกตั้งที่จ.ชุมพรและสงขลาด้วย
อย่างไรก็ตาม ยังมีอีกหลายพื้นที่ในกรุงเทพฯที่พรรคพยายามจะปักธงให้ได้ทั้งการเลือกตั้งระดับชาติและการเลือกตั้งส.ก. ส.ข.รวมถึงผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครซึ่งจะมีการเปิดตัวในวันที่ 23 ม.ค.เพราะการที่จะเปลี่ยนแปลงกรุงเทพฯได้การทำงานขององคาพยพต้องทำงานอย่างไร้รอยต่อโดยหลังวันที่ 23 ม.ค.ว่าที่ผู้สมัครผู้ว่ากทม.ของก็จะมาร่วมหาเสียงกับนายกรุณพลด้วย
"ถือเป็นการทำงานล่วงหน้าของว่าที่ผู้สมัครทั้งส.ก. ส.ข.และผู้ว่ากทมเพราะหลักสี่ถือเป็นพื้นที่หนาแน่นปานกลางมีมีผู้สูงอายุ 22 เปอร์เซ็นต์ขณะที่ค่าเฉลี่ยของกรุงเทพมหานครอยู่ที่ 17 เปอร์เซ็นต์แสดงว่าพื้นที่นี้เป็นพื้นที่คลาสสิคของกรุงเทพมหานครในแง่ของความแออัด ของผู้ที่มีความเปราะบางในช่วงที่มีภาวะวิกฤตโอมิครอนซึ่งน่าจะทำให้เป็นหลักสี่โมเดล เพื่อที่จะขยายต่อไปที่การเลือกตั้งผู้ว่ากรุงเทพมหานคร"
นายพิธายัง เห็นว่า ถ้าจะเอาการเลือกตั้งหลักสี่เป็นตัววัดการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ก็มองได้ เนื่องจากนักการเมืองและนักวิชาการต่างก็มองว่า การเลือกตั้งในเขตหลักสี่ สามารถวัดอะไรได้หลายๆ อย่าง เราคิดว่าเราต้องกินข้าวทีละคำ กินชามที่ละถ้วย พลิกหลักสี่ให้เป็นสีส้มอย่างที่เราต้องการให้ได้และนำความสำเร็จที่ได้จากเขตเลือกตั้งนี้ไปต่อยอด เพื่อแก้ไขปัญหาให้กับพี่น้องประชาชนชาวกทม. เชื่อว่า นายกรุณพล จะเป็นความเปลี่ยนแปลงที่พี่น้องชาวหลักสี่-จตุจักร รอคอยมานาน ถึงเวลาเก่าไปใหม่มาแล้ว
นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี ผู้สมัครส.ส.กทม.เขตเลือกตั้งที่ 9 พรรคกล้า กล่าวภายหลังจับได้เบอร์ 2 ว่า การเลือกตั้งครั้งนี้ไม่ใช่เฉพาะเขตหลักสี่อย่างเดียว แต่มีเขตจตุจักร อีก 3 แขวง คือ ลาดยาว เสนานิคม และจันทรเกษม โดยตั้งใจเข้าไปเป็นตัวประสานความขัดแย้ง เพราะใน 2 เขต มีโครงการด้านการระบายน้ำขนาดใหญ่ คือการก่อสร้างเขื่อนคลองเปรมประชากร และเขื่อนคลองลาดพร้าว ซึ่งขณะนี้ไม่มีนักการเมืองคนไหน อยากเข้าไปสู่ท่ามกลางความขัดแย้ง แต่ตนยินดีที่จะเข้าไปเจรจาให้เพราะเคยทำสำเร็จมาแล้วในหลายจุด
ทั้งนี้ ส่วนงานสภาฯเต็มที่อยู่แล้วเพราะหลายๆ คนก็รู้ว่าตนทำสภา ก็เต็มที่ แต่สำหรับงานพื้นที่ตนตั้งใจจะเข้าไปเจรจาให้แล้วเสร็จ ไม่งั้นมันคาใจว่าระบบระบายน้ำมันไม่จบสักที ผ่านมากี่ส.ส. ในช่วงนี้ รวมถึงก่อนหน้านี้ก็ไม่กล้าไปเจรจา จึงจะใช้ความกล้าไปเจรจา ทั้ง 2 ฝั่งและยุติความขัดแย้ง เพื่อทำคลองให้สวยงาม
เมื่อถามว่าเป็นห่วงหรือไม่กับการลงพื้นที่ไม่ทั่วถึงและอาจจะยังไม่ได้ใจพี่น้องประชาชนในส่วนนั้น นายอรรถวิชช์ กล่าวว่า ความจริงแล้วรู้จักพื้นที่หลักสี่ และจตุจักร ในเขตที่ลงนี้เกือบทุกตารางนิ้ว เคยเป็นผู้แทนที่นี่ ตั้งแต่ปี 50 54 และทำกิจกรรมต่อเนื่องมาตลอด
“เอาว่า ลงเขตนี้ เป็นผู้แทนตอนอายุ 29 ปีนี้จะ 44 ปี แล้วก็เกาะติดพื้นที่มาตลอดมั่นใจว่าทำได้ แต่ความสำคัญในการลงเลือกตั้งในครั้งนี้ไม่เหมือนกับพรรคอื่น ชัยชนะคราวนี้ถ้าเปรียบเทียบแล้ว กับพรรคอื่นๆ พรรคกล้า เป็นพรรคใหม่ เที่ยวนี้ว่าที่ผู้สมัครส.ส. ว่าที่ผู้สมัครส.ก. ลงพื้นที่พร้อมกันหมด และลุยงานพร้อมกันเลย เพราะพรรคนี้รวมเอาตัวจริงในแต่ละสาขาอาชีพมา ก็พยายามจะฝึกให้ทุกคนเข้าใจการเมือง รู้จักคน เข้าใจคนมากที่สุด”