วันนี้(23 มี.ค.65) เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา ได้เผยแพร่ ประกาศ เรื่อง การขยายระยะเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักร (คราวที่ ๑๗)
ตามที่ได้มีประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักร ตั้งแต่วันที่ ๒๖ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๖๓ และได้ขยายระยะเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินคราวที่ ๑๖ ออกไปจนถึงวันที่ ๓๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๐๕ นั้น
โดยที่สถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 สายพันธุ์โอมิครอน (Omicron) เกิดการแพร่กระจายเป็นวงกว้างและมีโอกาสติดเชื้อได้ง่ายและรวดเร็วกว่าสายพันธุ์อื่น ๆ อันส่งผลให้จํานวนผู้ป่วยติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แม้ประชาชนส่วนใหญ่เข้ารับการฉีดวัคซีน ตามเป้าหมายที่รัฐบาลกําหนดแล้วก็ตาม
แต่ในช่วงเดือนเมษายนและเดือนพฤษภาคมจะมีวันหยุดต่อเนื่องหลายช่วง ซึ่งประชาชนส่วนใหญ่จะเดินทางข้ามจังหวัดเพื่อกลับภูมิลําเนาและท่องเที่ยว รวมทั้งอาจมีการจัดกิจกรรมรวมกลุ่มโดยมีผู้เข้าร่วมเป็นจํานวนมาก จึงมีความเสี่ยงที่จะเกิดการระบาด แบบกลุ่มก้อน
ประกอบกับการเข้ารับการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น (Booster Dose) ของประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางที่มีความเสี่ยง ยังคงอยู่ในระดับต่ำ หากเกิดการระบาดรุนแรงมากขึ้น จะมีความเสี่ยงต่อความมั่นคงของระบบสาธารณสุขและชีวิตของประชาชน กรณีจึงจําเป็นต้องคงไว้ ซึ่งมาตรการในการควบคุมและป้องกันการระบาดของโรคเพื่อความมั่นคงทางสาธารณสุขของชาติ และชีวิตของประชาชน
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา ๕ แห่งพระราชกําหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๔๘ นายกรัฐมนตรีโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีตามมติเมื่อวันที่ ๒๒ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๖๕ จึงให้ขยายระยะเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักร ออกไปอีกคราวหนึ่ง สําหรับประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในเขตท้องที่จังหวัด ชายแดนภาคใต้ให้ยังคงมีผลใช้บังคับต่อไปควบคู่กัน
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ ๑ เมษายน พ.ศ. ๒๕๖๕ จนถึงวันที่ ๓๑ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๖๕
ประกาศ ณ วันที่ ๒๓ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๖๕
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา
นายกรัฐมนตรี
ขณะเดียวกันยังมีประกาศ เรื่อง การให้ประกาศที่คณะรัฐมนตรีกำหนดตามประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินยังคงมีผลใช้บังคับ
พร้อมทั้ง ประกาศ เรื่อง การให้ข้อกำหนด ประกาศ และคำสั่งที่นายกรัฐมนตรีกำหนด ตามประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินยังคงมีผลใช้บังคับ