นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคกล้า และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยถึงการประชุมใหญ่พรรคกล้า วันพรุ่งนี้ (30 เม.ย.65) ว่า เป็นการประชุมใหญ่ประจำปี และเป็นจังหวะครบรอบประมาณ 2 ปี พรรคกล้าพอดี และเป็น 2 ปีที่ประชาชนเดือดร้อนมาโดยตลอด
จำได้ว่าวันประชุมก่อตั้งพรรค คือช่วงก่อนล็อกดาวน์ครั้งแรกนิดเดียว จากนั้นพรรคกล้าก็มีโอกาสลงไปช่วยเหลือพี่น้องประชาชนตั้งแต่วันแรก ไม่ว่าจะสถานการณ์โควิด เศรษฐกิจปากท้อง สิ่งที่สัมผัสได้คือความเดือดร้อนของประชาชนที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
สิ่งที่ประชาชนต้องการวันนี้คือความหวังว่าในอนาคตจะดีขึ้น นี่คือบทบาทและภาระหน้าที่ของพรรคกล้า ซึ่งวันพรุ่งนี้จะได้นำเสนอแนวความคิด ว่าจะสร้างรายได้ให้กับประชาชนอย่างไร นี่คือหัวใจสำคัญ และพรรคกล้ามีความภาคภูมิใจที่มีโอกาสทำงานในฐานะพรรคการเมืองน้องใหม่ แม้ยังไม่มี ส.ส. แต่ก็ทำงานกันอย่างเต็มที่ ด้วยความตั้งใจช่วยกันสร้างโอกาส สร้างความหวัง สร้างรายได้ให้กับพี่น้องประชาชน
ส่วนการเตรียมเปิดตัวทีมงาน หัวหน้าพรรคกล้า กล่าวว่า ตอนนี้บริบททุกอย่างเปลี่ยนไปหมด โลกเปลี่ยนไปเยอะ ความคิดความต้องการของประชาชนก็เปลี่ยนไปด้วย วิธีการทำงานแบบเดิมๆใช้ไม่ได้แล้ว
ตอนนี้ต้องเริ่มต้นเปลี่ยนการเมืองแบบเดิม เพราะไปต่อไม่ได้แล้วในยุคสมัยนี้ ต้องเป็นผู้ที่รู้จริง ผู้ที่มีความเชี่ยวชาญ ผู้ที่ไม่ได้มานั่งรอการรายงานโดยราชการ ต้องคิดเองได้ และพร้อมตัดสินใจอย่างรวดเร็ว
นี่คือการเมืองใหม่ที่ประชาชนอยากเห็นความเปลี่ยนแปลง คือสิ่งที่พรรคกล้าจะนำเสนอ และพร้อมเป็นแพลตฟอร์มให้กับผู้ที่มีความรู้ความสามารถ จากหลากหลายวิชาชีพ ที่จะมาช่วยกันนำเสนอทางออกและสร้างโอกาสให้ประเทศ
นายกรณ์ ยังกล่าวถึงการลงพื้นที่ช่วยหาเสียง ส.ก.ว่า กระแสตอบรับผู้สมัคร ส.ก.ทั้ง 12 คน ของพรรคกล้า ดีมาก และเราคัดมาเฉพาะผู้สมัครที่เกาะติดพื้นที่จริงช่วง 2 ปีที่ผ่านมาโดยเฉพาะช่วงโควิด ได้พิสูจน์ตัวเองว่าช่วยเหลือพี่น้องประชาชนในพื้นที่ ซึ่งตนเองมีโอกาสลงพื้นที่เกือบครบแล้วทุกคนแล้ว
คิดว่าประชาชนรู้จักพรรคกล้ามากขึ้น ตลอด 2 ปีผ่านมาปฏิบัติหน้าที่ในฐานะพรรคการเมืองใหม่ แต่ผู้สมัครของเราล้วนเป็นบุคคลที่ประชาชนในพื้นที่คุ้นเคยพึ่งพากันมา
พร้อมมองภาพรวมว่า ความคึกคักการตื่นตัวโดยรวมถือว่าดีขึ้นเรื่อยๆ เห็นผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. ขยันขันแข็งในการรณรงค์ สื่อก็ให้ความสนใจในการจัดเวทีดีเบต คิดว่านี่คือสิ่งที่ดีในรอบ 8 - 9 ปี ที่ชาวกรุงเทพฯ จะมีโอกาสได้เลือกผู้นำและผู้แทนของตัวเอง มาทำงานรับใช้และคอยดูแลเขา