นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคกล้า โพสต์แสดงความอาลัยต่อการจากไปของ นายเจริญ คันธวงศ์ สส.หลายสมัยของพรรคประชาธิปัตย์ โดยระบุว่า
"อาจารย์เจริญ" เป็นคนรุ่นเดียวกันกับคุณพ่อ และรองมาจากคุณพ่อแล้ว เป็นผู้ใหญ่ที่เคารพรักมากที่สุด ซึ่งพอมานั่งคิดดูว่า อะไรเป็นสิ่งที่ทำให้เราเคารพหรือรักใคร คำตอบต้องใช้หลายคำบรรยายเหมือนกัน คือ ความใจกว้าง ความดี ความแฟร์ และการเป็นผู้ให้ (โดยไม่มีเงื่อนไขสิ่งตอบแทน)
ในปี 2548 ตนลงสมัครส.ส.ในเขตยานนาวา-สาทร โดยมีอาจารย์เจริญเปิดทางให้ อาจารย์เป็นส.ส.ในเขตนี้เดิม แต่ได้ตัดสินใจลงส.ส.บัญชีรายชื่อ และรับอาสาเป็นพี่เลี้ยงให้ผู้สมัครหน้าใหม่ที่ไม่เคยมีประสบการณ์ลงเลือกตั้งใด ๆ มาก่อน
“แกยกที่ทำงานแกให้เป็นศูนย์เลือกตั้งของผม ยกทีมงานทั้งหมดให้มาช่วย แต่ที่สำคัญที่สุดคือแกอุทิศตนในการช่วยหาเสียงเสมือนกับแกเป็นผู้สมัครเอง นั่นหมายถึงว่า แกตื่นแต่มืดเพื่อลงพื้นที่กับผมแทบทุกวัน และมักจะอยู่กับผมจนเย็น เป็นเช่นนี้อยู่กว่า 3 เดือน
ความทุ่มเทของอาจารย์เป็นมาตรฐานที่สูงมากให้ผมตลอดมา ผมช่วยคนอื่นแค่ไหน ผมก็ไม่เคยรู้สึกว่าเทียบได้กับที่อาจารย์เคยช่วยผมมา ในฐานะ political rookie ผมมีเรื่องต้องเรียนรู้จากอาจารย์และทีมงานมากมาย”
อาจารย์เจริญมักเรียนตนว่า “คุณกรณ์” ทุกครั้ง และมักแนะนำในหลาย ๆ เรื่อง เช่น เวลาคุณไปงานศพชาวบ้าน คุณไปเงียบๆ เหมือนคนทั่วไปไม่ได้ ถ้าจะไปอย่างนั้นคุณนั่งอยู่บ้านดีกว่า คุณจะนั่งข้างหลังกับชาวบ้านได้ แต่คุณต้องเดินไปหาเจ้าภาพหน้างานก่อน เคารพศพ แล้วค่อยเดินจากข้างหน้ามาข้างหลัง ให้ชาวบ้านเห็น และให้คุณได้ไหว้ทักทายชาวบ้านทุกคน
“คุณกรณ์” เวลาไปงานโต๊ะจีน คุณต้องนั่งโต๊ะติดกับเวที เดินทักทายทุกคนถึงที่นั่งคุณ แล้วนั่งหันหลังให้เวที หันหน้ามาในห้อง เพื่อเวลาแขกคนอื่นเขาหันมามองเวที เขาจะได้เห็นหน้าคุณ”, “คุณกรณ์” จำไว้นะ อย่าเบื่อ อย่าเหนื่อยที่มีชาวบ้านมาขอความช่วยเหลือเยอะแยะมากมาย เพราะนั่นแปลว่าเขามีความหวังในตัวคุณ ในฐานะนักการเมืองวันไหนไม่มีใครมาพึ่งพาวันนั้นคุณจะรู้สึกเหนื่อยจริง
นายกรณ์ ย้อนความหลังถึง วันเลือกตั้งเมื่อปี 2548 โดยใช้คำว่า วันเลือกตั้ง ‘ของเรา’ (เพราะมันไม่ใช่วันของผมคนเดียว) ในปี 2548 การนับคะแนนในเขตนี้มีดราม่ามากมาย สมัยนั้นยังมีการปิดหีบที่หน่วยเลือกตั้งแล้วขนทุกหีบมานับรวมกันที่ศูนย์กลางในแต่ละเขตเลือกตั้ง
ผมพบหลักฐานว่า มีการเปิดบางหีบระหว่างทางแน่นอน ตนเรียกร้องคำอธิบายจาก กกต. และไม่ยอมให้มีการเปิดหีบนับคะแนนจนกว่าจะมีคำชี้แจง (ซึ่งเขาชี้แจงไม่ได้) กกต.ยืนยันจะนับคะแนน แต่ตนไม่ยอมจนต้องขึ้นไปนั่งทับหีบเพื่อรักษาสิทธิ (นั่งทับบนหีบจริงๆ!)
วันนั้นพรรคไทยรักไทยยิ่งใหญ่มาก มี ‘แลนด์สไลด์’ ของจริง เขตอื่นเขานับเสร็จหมดแล้ว ผู้สมัคร ส.ส.ไทยรักไทยและทีมงานยกพลมาที่เขตยานนาวาเพื่อเป็นกำลังใจให้คู่แข่ง สื่อทุกสื่อมาตั้งกล้องที่เขตนี้ เหลือเขตนี้เขตเดียวในประเทศที่ยังไม่ได้นับคะแนน ดราม่าพีคถึงที่สุด
“ตลอดช่วงเวลานั้นผมมีอาจารย์อยู่เคียงข้าง จนประมาณตี 2 ผมบอกกับอาจารย์ว่า “อาจารย์กลับไปพักผ่อนเถอะครับ ผมรับมือได้แล้ว เช้าเจอกัน” เขตเรานับคะแนนเสร็จประมาณ 10 โมงเช้าวันรุ่งขึ้น ตอนสายๆ พอค่อนข้างแน่ชัดว่าผมฝ่าด่าน ‘แลนด์สไลด์’ มาได้
อาจารย์ขับรถกลับมาที่ศูนย์นับคะแนนที่วัดดอกไม้ เดินมากอดผมแน่นแล้วร้องไห้สะอึกสะอื้นด้วยความดีใจ พลางพูดใส่หูผมว่า “คุณเก่งมาก คุณเก่งมาก” ผมบอกอาจารย์ไปว่า อาจารย์สิครับคือคนเก่ง คนดี คนที่ให้โดยที่ไม่เคยขอ อาจารย์เจริญคือคนที่ผมนึกถึงเสมอว่า ในยุคหนึ่งบ้านเมืองเราเคยมีนักการเมืองแบบนี้ ที่ซื่อสัตย์ ทุ่มเท เสียสละ และเป็นคนของประชาชนอย่างแท้จริง
จากวันนั้นอาจารย์ก็เป็นที่พึ่งที่พร้อมให้คำปรึกษาเสมอ ตอนผมได้เป็นรัฐมนตรี คุณพ่อผมได้เสียชีวิตไปแล้ว อาจารย์จะพูดเสมอว่า ‘ถ้าคุณพ่อคุณรู้ ท่านจะต้องภาคภูมิใจ’ ซึ่งจริงๆแล้วเป็นคำพูดที่สะท้อนความรู้สึกของแกเอง และตลอดช่วงที่ผมอยู่ในตำแหน่ง แกไม่เคยมาที่กระทรวง ไม่เคยขออะไร ไม่เคยแสดงออกใน connection พิเศษระหว่างเรา”
หัวหน้าพรรคกล้ายังได้เอ่ยถึงคำพูดที่ อาจารย์เจริญ มักอวยพรคู่บ่าวสาวในวันแต่งงาน ว่า “ถ้าเมียถาม จงอย่าบอก ถ้าเมียไล่ จงอย่าหนี ถ้าเมียตี จงอย่าสู้ ถ้าเมียรู้ ต้องไม่รับ”
และขอขอบคุณครอบครัวของอาจารย์ ที่ต้องยอมแบ่งปันเวลาของสามีหรือพ่อ มาให้ประชาชนและพวกเรา อยากจะบอกไว้ ณ ที่นี้ว่า ความเสียสละของครอบครัวตลอดเวลาหลายสิบปี มีความหมายอย่างมากกับชีวิตคนจำนวนมากจริง ๆ รักและคิดถึงอาจารย์เจริญเสมอ