นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ประธานพรรคชาติพัฒนาและอดีตรองนายกรัฐมนตรี ได้บรรยายพิเศษในโอกาสปฐมนิเทศนักศึกษา วธอ.รุ่นที่ 7 ของสถาบันวิทยาการธุรกิจและอุตสาหกรรมเมื่อวันเสาร์ ที่ 11 มิถุนายน ที่ โรงแรมฮอลิเดย์อินน์ หัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ได้กล่าวถึง 3 เรื่อง สำคัญที่นักศึกษาควรต้องติดตาม คือ 1. สถานการณ์ของโลกในปัจจุบัน ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว 2. สถานการณ์ของประเทศไทยในช่วงที่เกิดผลกระทบจาก COVID 3. แนวทางการฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังโควิด-19 และสถานการณ์การสู้รบของยูเครนและรัสเซีย เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจไทย
สถานการณ์ของโลกในปัจจุบัน จากผลกระทบของโควิด-19 และสถานการณ์การสู้รบระหว่างยูเครนกับรัสเซีย ก่อให้เกิดผลกระทบอย่างรุนแรง 6 เรื่อง คือ 1. ภาวะเงินเฟ้อที่เกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกาและยุโรป ซึ่งสูงมากประมาณ 8 - 10 % สูงสุดในรอบ 40 ปี ของสหรัฐอเมริกาและสูงที่สุดนับแต่มีเงินยูโรเกิดขึ้นนับจากปี ค.ศ.1999 อันเนื่องจากการใช้จ่ายเงินจากการต่อสู้กับปัญหา COVID รวมทั้งราคาพลังงานที่แพงขึ้น และการขาดแคลนอาหารและราคาอาหารที่สูงขึ้น
2.การขึ้นดอกเบี้ยเพื่อแก้ไขปัญหาเงินเฟ้อของธนาคารกลางของสหรัฐอเมริกาและยุโรป ทาให้ดอกเบี้ยทั่วโลกสูงขึ้นจึงจะมีผลต่อตลาดเงินและการลงทุน
3. เศรษฐกิจโลกจะชะลอตัวลงอาจโตเพียง 2.5% จากปัญหาเงินเฟ้อ น้ามันและอาหารแพง และกาลังซื้อที่ถดถอยทั่วโลก และห่วงโซ่การผลิตที่หยุดการทางาน
4.โลกกาลังเกิดวิกฤติด้านอาหารขาดแคลนและราคาแพงจากสงคราม โรคระบาด ปัญหาโลกร้อนและประชากรที่เพิ่มขึ้น
5. ปัญหาโลกร้อนที่มีผลกระทบกับภัยธรรมชาติและรูปแบบอุตสาหกรรมต่างๆที่ต้องปรับตัวและ 6. เกิด NOW WORD ORDER การจัดระบบโลกใหม่ จากปัญหาสงครามและเศรษฐกิจ ก่อให้เกิดการตัดขาดจากกัน (Decoupling) มีการแบ่งกลุ่มที่ชัดเจน คือ กลุ่มสหรัฐอเมริกา และ NATO และสหภาพยุโรป และกลุ่มของรัสเซียและจีน ที่จะมีผลต่อการลงทุนและเศรษฐกิจโลก
สถานการณ์ด้านเศรษฐกิจของไทย ขณะนี้จากผลกระทบของโควิด-19 และสงคราม ทาให้เราต้องกู้เงินมาใช้จ่ายเพื่อต่อสู้กับปัญหาโควิด ทำให้ภาระด้านหนี้สาธารณะสูงกว่า 60% ของ GDP และหนี้ครัวเรือนสูงกว่า 90% ของ GDP ซึ่งอาจจะกระทบต่อเครดิต ด้านเสถียรภาพด้านการเงินและการคลัง การขาดดุลงบประมาณแผ่นดินในแต่ละปีประมาณ 700,000 ล้าน และงบการลงทุนในงบประมาณแผ่นดินที่เหลือในสัดส่วนน้อยลงเพียงประมาณ 20%
เศรษฐกิจปีนี้ GDP อาจโตไม่ถึง 3% นักท่องเที่ยวยังไม่กลับมาเป็นปกติ แต่ก็เริ่มจะกลับมา ปีนี้อาจได้ไม่เกิน 10 ล้านคน จาก 40 ล้านคนที่เคยมา ปัญหาที่ประชาชนเดือดร้อนกันมากขณะนี้ คือ น้ามันแพง ราคาไฟฟ้า และราคาสินค้าอุปโภคบริโภค ขึ้นราคา ท่ามกลางภาวะรายรับรายได้ของประชาชนที่กาลังลาบาก เงินเฟ้อของประเทศปีนี้อาจถึง 5%
จากสถานการณ์ด้านต่างๆ ของโลกรอบตัวเราในปัจจุบันและสถานการณ์ด้านเศรษฐกิจของประเทศไทยในขณะนี้ เราต้องร่วมกันหาทางออกเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจให้กลับมาและสร้าง Platform ใหม่ให้กับเศรษฐกิจของประเทศ เพื่อความยั่งยืนและชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชน โดย FOCUS ต่อแนวทางต่างๆประมาณ 7 เรื่อง คือ
1. หลังจากปัญหาโควิด-19 เริ่มคลี่คลายไปในทางที่ดีต้องเตรียมโครงการต่างๆ ในการกระตุ้นเศรษฐกิจไทยอย่างต่อเนื่องเพื่อการฟื้นตัว ต้องเตรียมงบประมาณให้เพียงพอถ้าจาเป็นต้องกู้เงินเพิ่ม ก็ต้องระมัดระวังเรื่องเครดิตและเสถียรภาพ ต้องกระตุ้นด้วยการสร้างงานอย่างจริงจัง ไม่เน้นประชานิยม เหมือนให้เบ็ดไปตกปลา ไม่ใช่ให้ปลา อย่างเดียว
2. ปรับโครงสร้างการบริหารและการผลิตของภาครัฐและเอกชนให้สอดคล้องกับเทคโนโลยีในปัจจุบัน ให้เกิดความทันสมัย การผสมผสานระหว่าง เทคโนโลยีดิจิตอล เทคโนโลยีชีวภาพ และวิทยาศาสตร์ชีวภาพ ได้ก่อให้เกิดสิ่งใหม่ในโลกยุคปัจจุบันมากมาย อาทิเช่น AI ,ROBOTICS ,BLOCKCHAIN ,เงินดิจิตอล ,พลังงานทดแทน ,รถยนต์ไฟฟ้า ,เศรษฐกิจดิจิตอล ,เศรษฐกิจ BCG ต่างๆ ซึ่งเราต้องปรับตัวให้ทันด้วยการใช้และพัฒนาเทคโนโลยีต่างๆ อย่างจริงจัง
3. ต้องเตรียมตัวต่อสู้ปัญหาเรื่องโลกร้อนเพราะจะกระทบต่อการส่งออกของสินค้าไทยในเรื่องมาตรการกีดกันทางการค้า ถ้าระบบการผลิตไปมีผลต่อการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและก่อให้เกิดภาวะโลกร้อน ก็จะเจอกับกาแพงภาษีต่างๆ ก็จะกระทบการส่งออก การปรับกระบวนการผลิตของ SME และผู้ประกอบการที่เป็นห่วงโซ่การผลิตให้ทันกับอุตสาหกรรมใหม่ๆ ที่มากับภาวะโลกร้อน เช่น อุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งจะมีผลต่อ SME ที่เคยผลิตชิ้นส่วนต่างๆให้กับรถยนต์ที่วิ่งด้วยน้
ามัน ว่าจะปรับตัวกันอย่างไรให้อยู่ได้และไทยจะยังเป็นผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ของโลกต่อไป
4. ต้องปรับโครงสร้างราคาพลังงานไม่ให้กระทบต่อประชาชนโดยเฉพาะราคาน้ามันและราคาไฟฟ้า ราคาน้ามันมีองค์ประกอบที่สาคัญ 3 ส่วน คือ ราคาน้ามันดิบ ค่าการกลั่น และค่าการตลาด ต้องศึกษารายละเอียดของโครงสร้างราคา คือ ค่าการกลั่นของโรงกลั่นน้ามัน และค่าการตลาดของปั๊มน้ามันต่างๆ ให้เกิดความเหมาะสม และเป็นธรรมกับทุกฝ่าย
โดยเฉพาะผู้บริโภค ในเรื่องราคาไฟฟ้า วันนี้ไฟฟ้าที่ผลิตจากพลังงานทดแทนต่างๆ ราคาถูกลงมาก เช่น พลังงานไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ ลงทุน 4 – 5 ปี ก็คืนทุนแล้ว ควรนาพลังงานทดแทนต่างๆ มาเป็นพลังงานหลักของประเทศ เพื่อลดสัดส่วนของการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานฟอสซิล จะสามารถลดราคาค่าไฟให้กับประชาชนได้เป็นอย่างมาก และเมื่อค่าไฟและน้ามัน ไม่แพงก็จะเป็นโครงสร้างพื้นฐานด้านการลงทุนให้กับประเทศด้วย
5. ปรับโครงสร้างผู้สูงอายุ โดยขณะนี้มีผู้สูงอายุวัย 60 ปี ประมาณ 12 ล้านคน ผู้อยู่ในวัยทางาน (15 – 59 ปี) มีประมาณ 43 ล้านคน สัดส่วนประชากรในวัยทางานต่อผู้สูงอายุประมาณ 3.6 : 1 แต่อีก 20 ปี จะประมาณ 1.8 : 1 จะมีผลกระทบต่อกาลังการผลิตของประเทศ และภาระด้านสวัสดิการต่างๆ ผู้สูงอายุคือ พลังที่สาคัญ เป็นผู้มากประสบการณ์ ควรต่ออายุการทางานให้สูงขึ้นเป็นจากเกษียณ 60 ปี เป็น 70 ปี ทั้งภาครัฐและเอกชน
6. ใช้กลไกกระจายอานาจมาเสริมสร้างประสิทธิภาพในการบริหารประเทศและลดความเหลื่อมล้า กรณีโควิด ก็เป็นตัวอย่างของความสาเร็จ ที่มีความร่วมมือ จากผู้นาท้องถิ่นต่างๆที่เข้ามาช่วยกันแก้ไขปัญหาการช่วยระดมการจัดหาวัคซีน หน้ากากอนามัย เจลล้างมือ และร่วมมือกันรักษาระยะห่าง ความร่วมมือของท้องถิ่น ทาให้เราฝ่าวิกฤติมาได้
7. สร้างแพลตฟอร์มใหม่ด้านเศรษฐกิจของไทยซึ่งมีจุดแข็งที่ใครมาแข่งกับ เราไม่ได้คือ ภาคเกษตร - อาหาร, การท่องเที่ยว - Soft Power และภูมิศาสตร์ของประเทศ
สร้างประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางการผลิตอาหารของโลกจากพื้นฐานสินค้าเกษตรที่เรามีอยู่ เช่น ข้าว ข้าวโพด มันสาปะหลัง น้ามันปาล์ม อ้อย และยางพารา และใช้ระบบอุตสาหกรรมมาสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าเกษตร เพิ่มมูลค่าด้านการส่งออก
การสร้างงาน การสร้างห่วงโซ่การผลิต การสร้าง SME ต่างๆ ต้องมีแผนการทางานด้านที่ชัดเจนต้องต่อยอดการท่องเที่ยวของไทย ขยายเวลาการพานักของนักท่องเที่ยวและขยายค่าใช้จ่ายต่อวัน จะเพิ่มรายได้อีกมหาศาล
เพิ่มจานวนนักท่องเที่ยว สร้างสินค้าด้าน การท่องเที่ยวใหม่ๆ ให้เกิดขึ้น ให้ประเทศไทยเป็นเมือง Wellness ของโลก เมืองอาหารอร่อยของโลก เป็น High End Destination เมืองท่องเที่ยววิถีชีวิตแบบชาวพุทธและสร้างตลาดท่องเที่ยวแบบ Digital Nomad จะทำให้เราขยายฐานนักท่องเที่ยวได้อีกเยอะ ส่งเสริมต่อยอดเรื่องการใช้ Soft Power ของไทยที่มีวัฒนธรรม ด้านอาหาร การแต่งกาย ศิลปะ ดนตรี กีฬา มาใช้ประโยชน์ในการส่งเสริมภาพลักษณ์ด้านการท่องเที่ยว และการลงทุน
มีการจัดตั้งกองทุน Soft Power เพื่อมาพัฒนาและสร้าง Soft Power ของไทยสู่ตลาดโลกให้เกิดประโยชน์ด้านเศรษฐกิจ ต้องวางแผนการพัฒนาประเทศให้สอดคล้องกับภูมิศาสตร์ของประเทศไทยที่ได้เปรียบ ที่เป็นศูนย์กลางของ ASEAN ให้สอดคล้องกับภูมิรัฐศาสตร์ที่อยู่รายล้อมไทย สร้างไทยให้เป็นระเบียงเศรษฐกิจใหม่ของภูมิภาคนี้ในการเชื่อมโยงกับโลก ก็จะทาให้ไทยเป็นฐานด้านการลงทุน การค้า Logistic และการท่องเที่ยวของโลกต่อไป
“สิ่งที่สาคัญที่สุด ที่จะทำให้ทุกอย่างสาเร็จคือ การเมืองต้องมีเสถียรภาพและคุณภาพทั้งด้านนโยบายและตัวบุคคลเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุน และมีมืออาชีพมาช่วยกันบริหารประเทศ และลดความขัดแย้งของการเมือง”นายสุวัจน์ ระบุ