วันที่ 1 กรกฎาคม 2565 ที่หอประชุมคุรุสภา กระทรวงศึกษาธิการ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม เป็นประธานในพิธีเปิดตัวงาน “สูงวัยใจสมาร์ท” โครงการจัดการและส่งเสริมการศึกษาตลอดชีวิตเพื่อคงสมรรถนะทางกาย จิต และสมองของผู้สูงอายุ ในรูปแบบกิจกรรมพัฒนาทักษะชีวิตใน 4 มิติ
นายกฯ กล่าวตอนหนึ่ง ว่า มายืนตรงนี้รู้สึกกระปรี้กระเปร่ามาเจอผู้สูงวัยหลายคนอายุน้อยกว่าตน วันนี้มาอยู่ด้วยกันเราไม่แบ่งแยกวัยกันอยู่แล้ว โดยที่ผ่านมามีการพัฒนาคนทุกช่วงอายุ ทั้งเด็กวัยเยาว์เด็กวัยรุ่นเด็กวัยทำงาน แล้วไปส่งอยู่ทั้งหมดซึ่งขับเคลื่อนด้วยการพัฒนาคุณภาพชีวิตตลอดทุกช่วงวัย 3H Heat Heart Health วันนี้มาดูเรื่องผู้สูงวัย ตนปลื้มใจดีใจที่ได้เห็นภาพความร่วมมือแบบนี้เกิดขึ้น และมีโอกาสได้มาพบปะพี่น้องเพื่อนผู้สูงวัย
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า เราได้ก้าวสู่สังคมสูงวัยมาระยะหนึ่งแล้ว โดยรัฐบาลให้ความสนใจและเตรียมการมาโดยตลอด เพราะวันนี้การเกิดลดลง ผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นเกิดปัญหาขาดแคลนแรงงาน ขณะเดียวกันต้องดูแลผู้สูงวัย ให้มีความสุขและเตรียมพร้อมในเรื่องสวัสดิการ เรื่องที่อยู่อาศัยและเรื่องอื่นๆ ปัญหาที่เกิดขึ้นทุกวันนี้ต้องแก้ปัญหาด้วยตัวเรา
สิ่งสำคัญคือเราต้องการให้เปลี่ยนมุมมองของรัฐบาล ซึ่งเราต้องหาเงินให้ได้มากขึ้น เพิ่มจีดีพีให้ได้มากขึ้น นำเงินมาดูแลคนทุกกลุ่ม วันข้างหน้าเราต้องเปลี่ยนมุมมองบทบาทของรัฐบาลจากการเป็นผู้สงเคราะห์ เป็นการพัฒนาและสร้างความเข้มแข็งทางร่างกายและจิตใจ
หลายคนเกษียณมาไม่มีความพร้อม กลายเป็นภาระเกิดความท้อแท้สิ้นหวัง หมดหวังเป็นเรื่องสำคัญที่ทุกคนต้องเตรียมการของตัวเองไว้ ให้มีความพร้อมกับอนาคต และลูกหลานจะต้องทำอย่างไร ถือเป็นภาระผูกพันในสังคมไทย
ทั้งนี้ รัฐบาลก็พยายามดูแลให้ได้มากที่สุด ถ้าเราอยู่บ้านเฉยๆ ก็จะเกิดความเหงา เราไม่ต้องการให้เกิดกับใครทั้งสิ้น เราต้องรักษาความผูกพันภายในครอบครัวไว้ให้ได้ โดยเฉพาะครอบครัวใหญ่
คือครอบครัวประเทศไทย อย่าลืมว่าหลายคนตรากตรำทำงาน เพื่อประเทศชาติสร้างบ้านสร้างเมืองไว้ให้เรา ย้อนไปดูประวัติศาสตร์ ประเทศไทยมีความเป็นมาอย่างไร เราจะเห็นได้ว่ากว่าบ้านเมืองเราจะสงบเรียบร้อย มีดินแดนได้ขนาดนี้ ต้องสูญเสียชีวิตและเสียต่างๆอะไรไปมาก
ดังนั้นพวกเราทุกคนจะต้องรักและสามัคคี รักษาสิ่งเหล่านี้เอาไว้ให้ได้ด้วยความเป็นไทยของเรา ทั้งนี้เรามี 3 สถาบันหลักที่เป็นแกนหลักในการพัฒนาประเทศ เราลืมไม่ได้เพราะนี่คือประวัติศาสตร์
“วันนี้ผมรู้สึกดีใจที่เห็นรอยยิ้มของทุกคน รู้ว่าทุกคนยังมีไฟอยู่ มีใครไฟอ่อนบ้าง ไฟยังไม่อ่อน เพราะมันอยู่ที่จิตใจ ผมเองบางครั้งบางวันมีความรู้สึกเหนื่อย ท้อแท้ แต่ก็ต้องชาร์ตไฟของผมขึ้นมาใหม่ ด้วยการพิจารณา ด้วยการคิดและอะไรต่างๆหลายอย่างด้วยกัน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องทางศาสนา ธรรมะ ก็ช่วยได้มากพอสมควร เพราะฉะนั้นขอฝากด้วยแล้วกัน เพราะจะทำให้ทุกอย่างสงบลง ซึ่งก็คงเป็นเช่นเดียวกับพวกเราทุกคน พอมีอายุสูงขึ้น มากขึ้น ก็จะคิดมากขึ้น จะรู้สึกว่าไม่มีใครสนใจ ไม่มีใครเอาใจใส่ ลูกหลานก็ไม่อยู่ ซึ่งเขาก็บอกว่า เขาไปทำงาน ไปทำมาหากิน ทั้งหมดต้องหาหนทางพบกันให้เจอ
ถ้าเราเทียบกับประเทศอื่น ประเทศไทยมีโอกาสเจอกับพ่อแม่ได้ทุกวาระ แต่ถ้าต่างประเทศอายุหลัง 18 ปีก็จะออกจากครอบครัว ปีหนึ่งเจอกันไม่กี่ครั้ง ของไทยเจอกันได้ตลอดเวลา บางครั้งไปหาพ่อแม่ได้ข้าวสารกลับมา ซึ่งท่านห่วงก็ให้อาหารกลับมา ต่างประเทศไม่มีแบบนี้ มีแต่ประเทศไทยและกลุ่มประเทศอาเซียน เป็นสิ่งที่เราควรภาคภูมิใจ” นายกฯ กล่าว