พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ชี้แจงผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎรในการพิจารณาญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจ รัฐมนตรีเป็นรายบุคคล ว่า ทั้งหมดที่ได้ฟังการอภิปรายมาไม่ใช่ข้อเท็จจริงทั้งหมด และไม่มีข้อมูลที่ถูกต้อง ซึ่งนายกรัฐมนตรีจำเป็นต้องชี้แจง
ทั้งนี้ ขอให้บรรยากาศการอภิปรายเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ขอให้ให้เกียรติกันด้วยคำพูด ถ้าอยากได้รับเกียรติจากคนอื่น ก็ต้องรู้จักการให้เกียรติคนอื่นก่อน ไม่ใช่การโจมตีในลักษณะให้ร้าย พูดจาส่อเสียด ซึ่งไม่ควรมีในสภาฯ แห่งนี้ รวมทั้งในปัจจุบันนี้หลายอย่างกำลังเป็นไปด้วยดี หลายอย่างกำลังทำ และหลายอย่างกำลังแก้ไข
เช่นกรณีที่ สมช. ตั้งคณะทำงานขึ้นมาทำงานด้านเศรษฐกิจ และถูกกล่าวหาว่าส่วนใหญ่มีตำแหน่งทหารจำนวนมากในคณะทำงาน ซึ่งข้อเท็จจริงไม่ใช่ ขอให้ไปดูจำนวนคนทำงาน และการทำงานดังกล่าวก็เพื่อดูแลความมั่นคงและดูแลภัยคุกคามในรูปแบบใหม่ รวมทั้งมีหน้าที่กำหนดยุทธศาสตร์ในการดูแลสถานการณ์ที่มีความมั่นคงมาเกี่ยวข้อง
“การใช้กลไกทหารมาทำงาน ใช้พรก.ฉุกเฉิน มันจำเป็นก็ต้องใช้ และพรก.ฉุกเฉิน ออกสมัยใครเป็นนายกฯ เอามาใช้ประโยชน์ได้ไหม ถ้าไม่ละเมิดคนอื่นก็สามารถใช้ได้ทั้งหมด ซึ่งรัฐบาลได้ใช้กลไกสมช. ทั้งศปก.ศบค. และคณะทำงานฉุกเฉิน มีรองนายกฯ รัฐมนตรี ที่เกี่ยวข้องอยู่ทั้งหมด แต่ที่ผ่านมาบริหารไม่เป็นเอง ไม่ใช้เพราะไม่ไว้ใจทหาร และทุกวันนี้ถ้าไม่มีทหาร ตำรวจ ดูแลท่านจะนั่งอยู่อย่างนี้ได้ไหม”
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้ ขอให้ยึดหลักการ 3ดี หลักการดี พูดด้วยวิชาการ หลักเหตุผล ข้อมูลดี นำเสนอด้วยข้อมูลจริง และน้ำใจดี มีน้ำใจต่อกัน ไม่อาจกล่าวอ้างว่า นายกรัฐมนตรีดีที่สุด เก่งที่สุด แต่ยืนยันว่าหลายอย่างที่พูดมาไม่ใช่ข้อเท็จจริง หลายเรื่องที่พูดมา ขอให้ดูสิ่งที่ทำไปแล้ว ดูข้อเท็จจริง
“ผมไม่อาจจะกล่าวอ้างว่าผมทำได้ดีที่สุดเก่งที่สุด ไม่เคยพูดแบบนั้น แต่ตีความไปเอง โดยหลายอย่าที่พูดมาไม่ใช่ข้อเท็จจริง ไม่มีความก้าวหน้า การจัดอันดับลดลงได้ดูสาเหตุไหมว่า มาจากตรงไหน มีอะไรดีขึ้น ท่านเป็นบุคลากรทางการแพทย์ฉลาดกว่าผมอยู่แล้ว แต่โชคดีที่ผมไม่ได้ไปรักษาอะไรกับท่าน เพราะว่าท่านว่าผมมีอาการพิการทางสมอง ผมก็โชคดีถ้าผมเป็นก็ไม่ไปรักษากับท่านไม่ได้”
ส่วนประเด็นเรื่องข้าวของแพง ปัญหาเศรษฐกิจ โดยนายกรัฐมนตรีพร้อมเปิดฟังข้อเสนอของทุกฝ่าย โดยขณะนี้รัฐบาลมีการแก้ปัญหาตั้งแต่ต้นทาง กลางทาง และปลายทาง ทั้งการแก้ปัญหาความยากจน แก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน หนี้ครู หนี้ กยศ. และอีกมากมาย ซึ่งจากที่เรียบเรียงมา มีการใช้จ่ายเงินไปพอสมควร
โดยเฉพาะเรื่องการดูแลพี่น้องประชาชนกว่า 50 ล้านคน ที่ได้รับเงินจากโครงการต่าง ๆ ไป ในส่วนปัญหาเศรษฐกิจ บางส่วนมีปัญหา บางส่วนก็ดีขึ้นในขณะนี้ โดยรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์รายงานว่าราคาพืชผลเกษตรดีขึ้นเกือบทุกตัวไม่ว่าจะเป็นอ้อย มันสำปะหลัง ยาง ปาล์ม และข้าวโพด เกษตรกรมีความพอใจ
“สิ่งที่ยังไม่ดีขึ้นก็ต้องไปแก้ไขที่ต้นทาง ดูแลเรื่องต้นทางการผลิต ทั้งเรื่องเทคโนโลยี รวมแปลง จัดหาปุ๋ยที่มีคุณภาพ การจดทะเบียน ขึ้นทะเบียนต่าง ๆ ซึ่งเป็นการแก้ไขปัญหาแบบที่ไม่เคยได้ยินรัฐบาลไหนพูดถึงมาก่อนเลย แต่รัฐบาลนี้ทำ ลองไปหาสิ่งที่ดี ๆ มองด้วยตาสองข้างหูสองหูจะได้เห็นอะไรดี ๆ บ้าง”
ส่วนของการกู้เต็มเพดาน ประชาชนได้ประโยชน์ เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ทั้งหมด 55 ล้านบัญชี นายกรัฐมนตรียืนยัน ไม่ได้เป็นการให้เพื่อซื้อเสียง แต่ให้เฉพาะกลุ่มคนที่มีปัญหา เพื่อให้ประชาชนอยู่รอด พัฒนาสู่ความพอเพียงและความยั่งยืน ซึ่งเป็นหนึ่งในหลักการของรัฐบาล ดูแลไม่ให้ป่วย ไม่ให้เสียชีวิต ทั้งวัคซีน โรงพยาบาลสนาม และอื่น ๆ อีกมากมายถึง 1.5 แสนล้านบาท และอาจจะมากกว่านั้น เพราะยังคงมีการแพร่ระบาดอยู่
นอกจากนี้ในกรณีที่ผู้นำฝ่ายค้าบอกว่านายกรัฐมนตรีอยากอยู่ต่อ 2 ปี พล.อ.ประยุทธ์ ระบว่า ขอให้ไปดูว่าว่าที่ออกแถลงการณ์ด่วนไปหมายความว่าอะไร โดยที่บอกว่าอีก 2 ปีหมายถึงโครงการต่าง ๆ จะผลิตดอกออกผลมา ไม่ได้บอกว่าจะอยู่ต่อ 2 ปี โดยจะเอาทุกเรื่องมาตีหมดอย่างนี้ไม่ได้