วันนี้(25 พ.ย.65) นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เลขาธิการพรรคสร้างอนาคตไทย อดีตรมว.พาณิชย์ ได้โพสต์เฟซบุ๊ก ในหัวข้อ ทุกคนยังเข้าร้าน “หนูณิชย์ติดดาว” กันอยู่ไหม โดยระบุว่า
พอดีช่วงนี้ผมเดินทางพบปะพี่น้องประชาชนบ่อยครั้ง หนึ่งในสิ่งที่พี่น้องมักจะพูดกับผมก็คือ “ค่าครองชีพ” นั้นสูงขึ้นมาก โดยเฉพาะอาหาร
เรียกได้ว่าจะอิ่มมื้อหนึ่ง ก็ต้องจ่ายเงินกันมากเลยทีเดียว บางครั้งใช้เงินร้อยเดียว อาจจะได้ทอนมาเพียงแค่นิดหน่อยเท่านั้น มาตรการช่วยเหลือค่าครองชีพก็ดูจะทำอะไรได้ไม่มาก
ผมเลยนึกขึ้นมาได้เรื่องนึงครับ เป็นเรื่องที่ผมเคยผลักดันเอาไว้ ในสมัยที่ผมยังทำงานอยู่ที่กระทรวงพาณิชย์ ผมและบรรดาทีมงานของกระทรวง เคยได้ทำนโยบายที่มีชื่อว่า “ร้านหนูณิชย์ติดดาว” เอาไว้ครับ เป้าหมายคือช่วยเหลือพี่น้องประชาชนด้านค่าครองชีพโดยเฉพาะ
ร้านหนูณิชย์ติดดาว ผมจำได้ครับว่า เป็นนโยบายที่เราในขณะนั้นที่กระทรวง ได้เปิดรับสมัครร้านอาหารทั่วไปเพื่อเข้าร่วมโครงการ ให้เป็นร้านอาหารที่ขายให้แก่พี่น้องประชาชนในราคาย่อมเยาว์ เป็นทางเลือกให้ประชาชนได้ฝากท้อง ในแบบที่ได้ลดภาระค่าครองชีพไปในตัว
แม้ว่าจะเป็นร้านอาหารราคาประหยัด แต่มั่นใจได้ว่า ร้านอาหารที่เลือกมานั้น มีรสชาติดี ถูกสุขอนามัย ได้มาตรฐาน ง่าย ๆ คือ ต้องถูก สะอาด และอร่อยด้วย ถ้าผ่านเกณฑ์แล้ว ก็จะได้ป้ายมาติดเพื่อบอกพี่น้องประชาชนที่ผ่านไปมาว่า สามารถใช้บริการฝากท้องได้เลย
ที่ขายราคาถูกได้ ส่วนหนึ่งก็เพราะเพราะกระทรวงพาณิชย์เข้าไปช่วยลดภาระด้านวัตถุดิบครับ เรียกว่าแก้ปัญหาต้นเหตุไปเลย ลดตั้งแต่ค่าไก่ ไปจนถึงค่าแก๊สเลยทีเดียว เมื่อลดต้นทุนให้ร้านได้ เขาก็ขายราคาถูกได้
หลังจากที่นโยบายได้เดินหน้าแล้ว ผมและทุก ๆ คนที่กระทรวงพาณิชย์ก็เดินหน้าต่ออย่างเต็มที่ จนในที่สุด เราก็สามารถขยายร้านหนูณิชย์ติดดาวได้ทั่วประเทศในช่วงปี 2560 เลยครับ
ที่พูดมาทั้งหมดนี้ จริง ๆ แล้วผมอยากชี้ให้เห็นครับ ว่า ในการลดค่าครองชีพของประชาชน เราสามารถเริ่มได้ที่เรื่องง่าย ๆ ครับ นั่นก็คือลดรายจ่ายในเรื่องสำคัญของประชาชน อย่างเช่นแค่เรื่องมีที่ฝากท้องราคาถูกที่อร่อย ได้คุณภาพ ก็สามารถช่วยกระเป๋าสตางค์ของพี่น้องประชาชนได้มากแล้วครับ
นอกจากนี้แง่หนึ่ง ยังสามารถช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจทางอ้อมอีกด้วยครับ ชุมชนมีรายได้ ผู้ประกอบการตั้งแต่ต้นทางอย่างวัตถุดิบไปจนถึงปลายทางอย่างร้านอาหารก็สามารถสร้างรายได้
วันนี้โครงการนี้ยังคงช่วยเหลือพี่น้องประประชาชนได้ และก็อยากให้มีการส่งเสริมให้เป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้น รวมถึงยกระดับมาตรฐานของร้านได้ ก็จะยิ่งทำให้เกิดประโยชน์ทั้งคนขายและคนซื้อ
ยิ่งหากมีการช่วยเหลือพ่อค้าแม่ค้าในเรื่องของวัตถุดิบอีก ก็จะเป็นการช่วยเหลือเกษตรกรตามไปด้วย เรียกว่าบริหารจัดการเรื่องปากท้องได้ครบวงจรเลยครับ
เห็นไหมครับ มันง่ายนิดเดียวเอง ขอแค่ตั้งใจก็น่าจะเพียงพอ และในปัจจุบันใครก็คงไม่สามารถพูดได้แล้วว่า ปัญหานี้แก้ยาก เพราะผมเคยแก้มาแล้ว!