15 กุมภาพันธ์ 2566 ที่รัฐสภา ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อพิจารณาญัตติอภิปรายทั่วไปไม่ลงมติ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 152 นายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคไทยศรีวิไลย์ ได้ประกาศว่าวันนี้ทำหน้าที่ ส.ส.เป็นวันสุดท้าย
ทั้งนี้ ภายหลังการอภิปรายประเด็นทุนจีนสีเทา รวมถึงอภิปรายโจมตี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหมว่า ดูดและปล้น ส.ส.จากพรรคอื่น กระทั่งถูกประท้วงให้ต้องถอนคำพูดจนต้องเปลี่ยนมาใช้คำว่า ทาบทาม ส.ส.พรรคอื่นแทน
นายมงคลกิตติ์ กล่าวในตอนท้ายของการอภิปรายระบุว่า ทำหน้าที่ในสภาแห่งนี้ที่ตนภูมิใจ วันนี้ได้ทำหน้าที่อภิปรายในฐานะ ส.ส.ฝ่ายค้านเป็นครั้งสุดท้าย ของสภาชุดนี้ ได้ทำหน้าที่ ส.ส.กว่า 3 ปี 11 เดือน ทำหน้าที่ฝ่ายค้าน 11 เดือน
ทำหน้าที่ฝ่ายค้านและฝ้ายค้านอิสระ 3 ปี สามารถพูดได้เต็มปากเต็มคำว่าในกายตนเป็น ส.ส.ที่มาจากประชาชน 100% ไม่ได้ซื้อเสียงแม้แต่คะแนนเดียวแม้คะแนนไม่มากนัก 60,054 คะแนน
ในห้วง 4 ปี เดินทางไปทั่วประเทศ รับฟังปัญหาของประชาชน เสนอปัญหาสู่สภาแก้ไขทั้งทางตรงทางอ้อม เสนอกฎหมายมากกว่า 6 ฉบับด้วยกัน ทั้งกระทู้สด อภิปรายงบประมาณ 3 ปี อภิปรายไม่ไว้วางใจแบบลงมติ ไม่ลงมติอย่างละ 3 ครั้ง หารือแก้ไขปัญหาประชาชน 40 ครั้ง 100 กว่าเรื่อง
เรื่องอภิปรายอื่น ๆ จำนวนมาก และตนเป็น ส.ส.ที่ร่วมทุกข์กับประชาชนเกือบทุกเหตุการณ์ อภิปรายขัดขวางโครงการที่ส่อไปในทางทุจริตหลายโครงการ
แม้ผมจะไม่ใช่นักการเมืองที่ดี 100% และมีข้อบกพร่องอยู่ แต่หัวใจคิดอยู่อย่างเดียว คือจะทำอย่างไรให้พี่น้องประชาชน 66 ล้านคน มีชีวิตความเป็นอยู่สุขสบายขึ้น ยิ้มได้กว้างขึ้น มีปัญหาน้อยลง แม้ผมจะเหนื่อยมากก็ตาม
นายมงคลกิตติ์ กล่าวว่า ในอีก 2 วันข้างหน้าคือ 17 กุมภาพันธ์ จะคืนอำนาจอธิปไตยให้กับประชาชน 66 ล้านคน เพื่อพิจารณาใหม่อีกครั้งในวันที่ 7 พฤษภาคม ว่าผู้แทนราษฎรแบบตน พรรคไทยศรีวิไลย์ที่มีตนเป็นหัวหน้าพรรค มีประโยชน์ต่อประเทศไทย ประชาชนไทยหรือไม่
ก่อนที่นายศุภชัย โพธิ์สุ รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 2 ในฐานะประธานที่ประชุม ระบุว่า ช่วงท้ายที่นายมงคลกิตติ์ อภิปรายนั้นไม่ได้เกี่ยวกับเนื้อหาในญัตติแต่อย่างใดแต่นายมงคลกิตติ์ก็ไม่ได้พูดกระทบคนอื่นจึงเปิดโอกาสให้หาเสียงสักหน่อย