ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) นายชูวิทย์ กมลวิศิษฐ์ ยื่นคำร้องให้ กกต. ตรวจสอบการรับบริจาคเงินของพรรคภูมิใจไทยเข้าข่าย ขัด มาตรา 72 ของพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองหรือไม่ และให้กกต.พิจารณายื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อยุบพรรคภูมิใจไทย
โดยนายชูวิทย์ ตั้งโต๊ะแถลงว่า ตามมาตรา 72 ห้ามมิให้พรรคการเมืองและผู้ดำรงตำแหน่งในพรรคการเมืองรับบริจาคเงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใด โดยรู้หรือควรจะรู้ว่าได้มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือมีเหตุอันควรสงสัยว่า มีแหล่งที่มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย
การที่นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม โอนหุ้นใน หจก.บุรีเจริญคอนสตรัคชั่น ประมาณ 190 ล้าน ให้ นายศุภวัฒน์ เกษมสุทธิ์ เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่แทนนั้น ไม่ได้เป็นการโอนหุ้นจริง เพราะจากการตรวจสอบนายศุภวัฒน์ไม่มีรายได้ ไม่มีการยื่นเสียภาษี จึงถือเป็นการโอนหุ้นให้นอมินีที่เป็นพนักงานในบริษัทถือแทน โดยที่นายศักดิ์สยามยังเป็นเจ้าของบริษัทดังกล่าว
และการที่บริษัทดังกล่าว ได้รับงานจากกระทรวงคมนาคม ซึ่งนายศักดิ์สยาม ดำรงตำแหน่ง รมว.คมนาคมอยู่นั้น จึงเป็นการรู้อยู่แล้ว แต่ใช้ตำแหน่งหน้าที่ให้บริษัทดังกล่าวได้รับงานกว่า 104 โครงการ 1,500 ล้านบาท โดยมอบอำนาจให้นอมอนี นำเงินที่ได้บริจาคให้พรรคภูมิใจไทยหลายครั้ง เงินดังกล่าวจึงได้มาโดยมิชอบ
ดังนั้นนายศักดิ์สยาม ในฐานะเลขานุการพรรคภูมิใจไทย จึงรู้หรือควรรู้อยู่แล้วว่าเงินมาจากไหน ทั้งนี้การนายศักดิ์สยาม และพรรคภูมิใจไทยรับเงินบริจาคจาก หจก.บุรีเจริญคอนสตรัคชั่น และนายนายศุภวัฒน์ จึงเข้ามาตรา 72 ซึ่งเปรียบเหมือนต้นไม้พิษ ผลไม้ก็เป็นพิษ
นายชูวิทย์ กล่าวอีกว่า โดยหลักฐานที่ตนยื่นให้ กกต.ในวันนี้ มีทั้งหมด 8 รายการ ประกอบด้วย บัญชีรายชื่อผู้บริจาคให้พรรคภูมิใจไทย ,สำเนาคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญ, สำเนาการแจ้งบัญชีทรัพย์สินของนายศักดิ์สยาม, งบการเงินของบริษัทศิลาชัย บุรีรัมย์ (1991), งบการเงินของ หจก.บุรีเจริญคอนสตรัคชั่น, สำเนาโอนหุ้นของนายศักดิ์สยาม, สัญญากรมทางหลวง และรายชื่อบริษัทที่มีสถานะร้าง
อย่างไรก็ตามตนมั่นใจว่าหลักฐานที่ยื่นต่อกกต.วันนี้สามารถยุบพรรคภูมิใจไทยได้ 100% จึงยื่นคำร้องต่อนายทะเบียนพรรคการเมืองให้ทำการตรวจสอบและให้ กกต.พิจารณายื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูยเพื่อยุบพรรคภูมิใจไทย ซึ่งเรื่องดังกล่าวควรที่จะต้องดำเนินการแล้วเสร็จก่อนการเลือกตั้ง
หากเรื่องดังกล่าวดำเนินการไม่ทันก่อนการเลือกตั้งหรือ กกต.มีการยกคำร้อง ตนก็จะเดินหน้าต่อในฐานะประชาชน โดยจะรณรงค์ต่อสู้ให้ประชาชนไม่เลือกพรรคภูมิใจไทย ซึ่งเชื่อว่าสามารถทำลายคะแนนของพรรคภูมิใจไทยได้เป็นกอบเป็นกำ และจะเป็นการต่อสู้ที่สนุกเพราะพรรคภูมิใจไทยจิ้มไปตรงไหนก็มีแต่หนอน
ระหว่างการแถลงข่าว นายชูวิทย์ยังได้ชี้แจงถึงกรณีพรรคภูมิใจไทยกล่าวหาว่าทำตัวเป็นศาลเตี้ย ว่าตนเป็นคนคนเดียว จะเป็นศาลเตี้ยได้อย่างไร และเรื่องของนายศักดิ์สยามฝ่ายค้านยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญ เท่ากับว่าศาลรับธรรมนูยเป็นศาลเตี้ยด้วยหรือไม่
ส่วนการจะให้ผู้สมัคร 400 เขตเลือกตั้งฟ้องตนนั้น มองว่าเป็นการกลั่นแกล้งเพื่อปิดปากตนเท่านั้น โดยเมื่อพูดเรื่องดังกล่าวนายชูวิทย์ได้นำเทปกาวสีดำมาปิดที่ปาก นอกจากนั้นนายชูวิทย์ยังได้ล้างมือโชว์ เพื่อตอบโต้กรณีพรรคภูมิใจไทยบอกว่าตนเองมือสกปรกรับงานมาจากบุคคลอื่นเพื่อทำลายชื่อเสียงของพรรค.