วันที่ 19 พฤษภาคม 2566 พล.ต.ท.ภาคภูมิภิภัทฒ์ สัจจพันธุ์ ผบช.สตม. พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รอง ผบช.สตม. พล.ต.ต.ธนิต ไทยวัชรามาศ ผบก.สส.สตม. พ.ต.อ.รัฐโชติ โชติคุณ พ.ต.อ.แดนไพร แก้วเวหล รอง ผบก.สส.สตม. ร่วมกันแถลงผลการจับกุมแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ชาวจีน 2 คดี
ผบช.สตม. กล่าวว่า คดีที่ 1 จับกุม นายหลี่ (นามสมมติ) อายุ 27 ปี และ นายหวง (นามสมมติ) อายุ 37 ปี สัญชาติจีน หัวหน้าแก๊งคอลเซ็นเตอร์จีน หลอกลงทุน คริปโตฯ ปลอม สร้างความเสียหายกว่า 500 ล้านบาท
ภายหลังได้รับการประสานงานจากเอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย และเจ้าหน้าที่ศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมเมืองเซี่ยงไฮ้ ให้ตรวจสอบหลังหลบหนีเข้ามาอยู่ที่ประเทศไทย จนกระทั่งวันที่ 16 พฤษภาคม ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมได้สืบสวน
ทราบว่า นายหลี่ พักอยู่ที่คอนโดแห่งหนึ่งย่านทองหล่อ ส่วน นายหวง ได้พักอาศัยอยู่คอนโดหรูแห่งหนึ่งย่านวัฒนา กรุงเทพฯ จึงได้ขอหมายค้นต่อศาล เพื่อเข้าตรวจค้นทั้งสองที่ และจับกุมผู้ต้องหาได้ในที่สุด
จากการสืบสวนทราบว่า แก๊งคอลเซ็นเตอร์ ตั้งอยู่ที่เมืองสีหนุวิลล์ ประเทศกัมพูชา ลักษณะเป็นการโฆษณาชักชวนให้ลงทุนบนแพลตฟอร์มที่ชื่อว่า GOLD TIANLI , EXCELLENT TRADING HALL, SINA FINANCE, JINYU INTERNATIONAL ซึ่งเป็นการลงทุนเกี่ยวกับคริปโตฯ ( CRYPTOCURRENCY)
โดยจะมีการชักชวนประชาชนจากเว็บไซต์และแพลตฟอร์มออนไลน์ต่างๆ เมื่อมีคนหลงเชื่อจะทำการพูดคุยผ่านแอพพลิเคชั่น และชักชวนหลอกลงทุน อีกทั้งยังมีการจัดหาพนักงานคอลเซ็นเตอร์ จะมีการหลอกลวงและบังคับคนเข้าทำงานกับแก๊งดังกล่าว
สำหรับคดีต่อมา พล.ต.ท.ภาคภูมิภิภัทฒ์ กล่าวว่า ตำรวจ สตม. ได้จับกุมหัวหน้าแก๊งคอลเซ็นเตอร์จีน เชื่อมโยงกว่า 8,500 คดี ความเสียหายกว่า 8,000 ล้านบาท โดยทางตำรวจได้รับการประสานงานจากเอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย และสำนักงานรักษาความปลอดภัยสาธารณะ สาธารณรัฐประชาชนจีน
หลัง นางหยาง อายุ 35 ปี สัญชาติจีน ผู้ต้องหาตามหมายจับรายสำคัญ หัวหน้าแก๊งคอลเซ็นเตอร์โทรหลอกประชาชนอ้างเป็นเจ้าหน้าที่รัฐข่มขู่ ให้โอนเงินมูลค่าความเสียหายกว่า 8,000 ล้านบาท โดยตั้งฐานอยู่ที่ เขตปกครองพิเศษว้า ประเทศเมียนมาร์ แล้วหลบหนีเข้ามายังประเทศไทยผ่านทางช่องทางธรรมชาติ
ภายหลังสืบทราบว่า นางหยาง ได้หลบซ่อนอยู่ในบ้านแห่งหนึ่งที่จังหวัดเชียงใหม่ จึงได้ขอหมายศาลจังหวัดเชียงใหม่ เข้าทำการตรวจค้นบ้านหลังดังกล่าว พบตัวนางหยาง และโทรศัพท์มือถือ จำนวนหลายรายการ
จากการตรวจสอบพบว่า ไม่ได้เดินทางเข้ามาในประเทศไทยผ่านทางช่องที่กฎหมายกำหนด จึงได้ทำการจับกุมในข้อหา “เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรไทย โดยไม่ได้รับอนุญาต” นำตัวส่งพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินการตามกฎหมาย
นอกจากนี้ยังมีการแถลงผลการกวาดล้างอาชญากรรม ในช่วงวันที่ 4-13 พฤษภาคม ที่ผ่านมา สตม.สามารถจับกุมคนต่างด้าวอยู่เกินกำหนด (Overstay) ได้ทั้งสิ้น 1,272 ราย
พล.ต.ท.ภาคภูมิภิภัทฒ์ กล่าวว่า ในช่วงที่ผ่านมามีชาวต่างชาติโดยเฉพาะคนจีน เข้ามาก่อเหตุอาชญากรรมในประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น ก็ได้มีการสั่งการเชิงรุก พร้อมประสานงานร่วมกับทางจีนแลกเปลี่ยนข้อมูลกัน โดยทางจีนจะส่งข้อมูลคนจีนที่มีหมายจับมาให้ทั้งหมด จึงเป็นข้อมูลสำคัญที่ใช้สืบสวนและจับกุมบุคคลเหล่านี้มาดำเนินคดี
“ถือเป็นการป้องกันเหตุล่วงหน้า ในส่วนของสถิติการก่อเหตุของคนจีนที่เข้ามาก่อเหตุอาชญากรรมในประเทศไทย พบว่า ขณะนี้มีทั้งสิ้น 7 คดี และทั้งหมดก็ถูกเจ้าหน้าที่จับกุมหมดแล้ว”