วันนี้(18 ก.ค. 66) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 17 ก.ค. 2566 ที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง นายยงยุทธ เสาแก้วสถิต ทนายความ เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นายอิทธิพร บุญประคอง ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กับพวกรวม 7 คน เป็นจำเลย โดยกล่าวหาว่า มีความผิดฐานร่วมกันปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือโดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157
โจทก์กล่าวหาจำเลยทั้ง 7 สรุปได้ว่า เจตนาร่วมกันออกประกาศแบ่งเขตเลือกตั้ง 2566 ทั่วประเทศ ออกแบบัตรเลือกตั้ง ส.ส.แบบแบ่งเขต และแบบบัญชีรายชื่อ ที่แตกต่างกันจากการเลือกตั้งหลายครั้งที่ผ่านมา พิมพ์บัตรเกินกว่าจำเลยประชาชนมีผู้มีสิทธิเลือกตั้งมากกว่า 7 ล้านใบ ทำให้ผู้สมัครรับเลือกตั้ง และประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั่วประเทศไม่เข้าใจ หรือสับสนวุ่นวาย
รวมทั้งออกระเบียบ ประกาศต่าง ๆ ในลักษณะทำทุกวิถีทางเพื่อช่วยให้พรรครัฐบาลเดิมชนะการเลือกตั้ง และได้กลับมาเป็นรัฐบาลอีกครั้ง หรือรัฐบาลสมัยที่ 2
นอกจากนี้จำเลยทั้ง 7 มีหน้าที่ต้องตรวจสอบคุณสมบัติของ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรค หรือผู้สมัครรับเลือกตั้งทุกคนตามกฎหมาย แต่จำเลยทั้ง 7 หาได้ทำตามอำนาจหน้าที่ของพวกตนไม่
จนปล่อยล่วงเลยมาถึงวันเลือกตั้ง 14 พ.ค. 2566 มีนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) มายื่นคำร้องต่อจำเลยทั้ง 7 กล่าวหาว่า นายพิธา ถือหุ้นสื่อบริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) หรือหุ้น itv จำนวนเพียงประมาณ 42,000 หุ้น ในจำนวนหลายล้านหุ้น จึงอาจขาดคุณสมบัติที่จะเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.
ต่อมามีผู้ยื่นข้อกล่าวหาในลักษณะเดียวกันอีกหลายคน แต่จำเลยไม่ดำเนินการสืบสวน ไต่สวน และวินิจฉัยโดยพลันตามกฎหมาย หรือไม่ส่งเรื่องให้ศาลฎีกามีคำสั่ง หรือ คำพิพากษาตามกฎหมาย ทั้งที่นายพิธา เคยเป็น ส.ส.มาแล้ว 1 สมัยจนครบวาระ และลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นครั้งที่ 2
การกระทำดังกล่าวของจำเลยทั้ง 7 จึงเป็นการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือโดยทุจริต ทำให้บุคคลอื่นคือโจทก์ หรือนายพิธา ได้รับความเสียหาย
ขณะเดียวกันก่อนประกาศการเลือกตั้ง ส.ส. จำเลยทั้ง 7 มีพฤติการณ์เคลือบแคลงสงสัยหลายประการ เช่น ประกาศผลการเลือกตั้งได้ช้ากว่าที่ควร ปฏิเสธไม่รับความช่วยเหลือจากหน่วยหรือองค์กรเอกชน และไม่เลือกใช้การสื่อสารที่ทันยุคทันสมัยแต่อย่างใด
โดยผลการเลือกตั้งเมื่อ 14 พ.ค. 2566 ปรากฏว่าผู้มีสิทธิเลือกตั้งมากกว่า 14 ล้านคน รวมโจทก์ เลือกพรรคก้าวไกล จนพรรคก้าวไกลได้จำนวน ส.ส.มากเป็นอันดับ 1 คือ 151 คน แต่จำเลยทั้ง 7 เจตนาร่วมกันกลั่นแกล้ง นายพิธา
ด้วยการประชุม วินิจฉัย ลงมติ หรือมีความเห็นร่วมกันส่งเรื่องที่นายพิธา ถูกร้องเรียนว่าถือหุ้น itv ต่อศาลรัฐธรรมนูญ หรือศาลการเมืองอย่างเร่งรีบ เพื่อให้วินิจฉัยว่านายพิธา ไม่มีคุณสมบัติ หรือ ขาดคุณสมบัติที่จะสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส. เพราะถือหุ้นสื่อ และขอให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง
โดยจำเลยทั้ง 7 มิได้ดำเนินการสืบสวน ไต่สวน และวินิจฉัยให้ละเอียดรอบคอบเสียก่อนตามขั้นตอนของกฎหมาย อันเป็นการดำเนินการก่อ หรือขณะวันโหวตเลือก นายพิธา เป็นนายกรัฐมนตรี ในวันที่ 13 ก.ค. 2566 เพื่อลดความน่าเชื่อถือของนายพิธา และพรรคก้าวไกลต่อสมาชิกรัฐสภา
ทั้งที่ นายพิธา เป็น ส.ส.มาครบ 1 สมัยหรือ 4 ปีที่ผ่านมา ก็ไม่เคยมีผู้ใดร้องคัดค้านแต่อย่างใด จึงเป็ฯการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ หรือโดยทุจริตทำให้บุคคลอื่นคือโจทก์ และหรือนายพิธา ได้รับความเสียหาย
โดยศาลอาญาคดีทุจริตฯ มีคำสั่งให้รับคดีไว้เพื่อตรวจฟ้อง ให้นัดฟังคำสั่ง หรือ คำพิพากษา ในวันที่ 8 ส.ค. 2566 เวลา 09.30 น.