ประธาน กกต.ไม่หวั่นศาลรับตรวจคำฟ้องคดีกลั่นแกล้ง“พิธา”

19 ก.ค. 2566 | 12:07 น.
อัปเดตล่าสุด :19 ก.ค. 2566 | 12:11 น.

ประธาน กกต.ไม่หวั่นศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง มีคำสั่งรับตรวจคำร้อง หลังถูกฟ้องกลั่นแกล้ง “พิธา ลิมเจริญรัตน์” เตรียมรวบรวมหลักฐานหลังพบ ส.ส.ภูมิใจไทย ถือหุ้นสื่อไอทีวี

วันนี้ (19 ก.ค.66) นายอิทธิพร บุญประคอง ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)  กล่าวถึงกรณีศาลอาญาทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง มีคำสั่งรับตรวจคำร้อง ในกรณีนายยงยุทธ เสาแก้วสถิต ทนายความ ยื่นฟ้อง กกต. ทั้ง 7 ฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เกี่ยวกับการจัดการเลือกตั้ง และการส่งเรื่องคุณสมบัติของ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรค และแคนดิเดตนายกฯ ให้ศาลรัฐธรรมนูวินิจฉัย ว่า ไม่กังวล เพราะการปฎิบัติหน้าที่ หากมีใครไม่เห็นด้วย ก็สามารถยื่นคำร้องต่อศาลได้ และหากเรื่องถึงศาลแล้ว ก็ต้องปล่อยให้เป็นหน้าที่ของศาลในการพิจารณา

ก่อนหน้านี้  เมื่อวันที่ 17 ก.ค. 2566 ที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง นายยงยุทธ เสาแก้วสถิต ทนายความ เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นายอิทธิพร บุญประคอง ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กับพวกรวม 7 คน เป็นจำเลย โดยกล่าวหาว่า มีความผิดฐานร่วมกันปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือโดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157

โจทก์กล่าวหาจำเลยทั้ง 7 สรุปได้ว่า เจตนาร่วมกันออกประกาศแบ่งเขตเลือกตั้ง 2566 ทั่วประเทศ ออกแบบัตรเลือกตั้ง ส.ส.แบบแบ่งเขต และแบบบัญชีรายชื่อ ที่แตกต่างกันจากการเลือกตั้งหลายครั้งที่ผ่านมา พิมพ์บัตรเกินกว่าจำเลยประชาชนมีผู้มีสิทธิเลือกตั้งมากกว่า 7 ล้านใบ ทำให้ผู้สมัครรับเลือกตั้ง และประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั่วประเทศไม่เข้าใจ หรือสับสนวุ่นวาย

รวมทั้งออกระเบียบ ประกาศต่าง ๆ ในลักษณะทำทุกวิถีทางเพื่อช่วยให้พรรครัฐบาลเดิมชนะการเลือกตั้ง และได้กลับมาเป็นรัฐบาลอีกครั้ง หรือรัฐบาลสมัยที่ 2

นอกจากนี้จำเลยทั้ง 7 มีหน้าที่ต้องตรวจสอบคุณสมบัติของ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรค หรือผู้สมัครรับเลือกตั้งทุกคนตามกฎหมาย แต่จำเลยทั้ง 7 หาได้ทำตามอำนาจหน้าที่ของพวกตนไม่ 

จนปล่อยล่วงเลยมาถึงวันเลือกตั้ง 14 พ.ค. 2566 มีนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) มายื่นคำร้องต่อจำเลยทั้ง 7 กล่าวหาว่า นายพิธา ถือหุ้นสื่อบริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) หรือหุ้น itv จำนวนเพียงประมาณ 42,000 หุ้น ในจำนวนหลายล้านหุ้น จึงอาจขาดคุณสมบัติที่จะเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้ง ส.ส. 

ต่อมามีผู้ยื่นข้อกล่าวหาในลักษณะเดียวกันอีกหลายคน แต่จำเลยไม่ดำเนินการสืบสวน ไต่สวน และวินิจฉัยโดยพลันตามกฎหมาย หรือไม่ส่งเรื่องให้ศาลฎีกามีคำสั่ง หรือ คำพิพากษาตามกฎหมาย ทั้งที่นายพิธา เคยเป็น ส.ส.มาแล้ว 1 สมัยจนครบวาระ และลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นครั้งที่ 2

การกระทำดังกล่าวของจำเลยทั้ง 7 จึงเป็นการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือโดยทุจริต ทำให้บุคคลอื่นคือโจทก์ หรือนายพิธา ได้รับความเสียหาย

ประธาน กกต.กล่าวถึงกรณีพบ นายจักรกฤษณ์ ทองศรี สส.พรรคภูมิใจไทย  ถือหุ้นสื่อ ITV จำนวน 40,000 หุ้น นายอิทธิพร กล่าวว่า  เรื่องนี้ตามปกติไม่ต้องรอให้ผู้อื่นมาร้องเรียน กกต.มีอำนาจตรวจสอบได้โดยตรง 

“เรื่องนี้หลังปรากฏเป็นข่าว โดยหลักแล้วสำนักงาน กกต. ซึ่งเปรียบเสมือนฝ่ายเลขานุการของ กกต. ก็จะพิจารณารวบรวมข้อเท็จจริง และพยานหลักฐาน และหากเห็นว่าสมควรจะให้กกต.พิจารณาอย่างไร ก็ต้องเป็นไปตามนั้น ยืนยันการพิจารณาคำร้องของ กกต.ทุกเรื่อง พิจารณาบนพื้นฐานเดียวกันหมด และพิจารณาตามระเบียบ”