นายวรภพ วิริยะโรจน์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล เปิดเผยในการอภิปรายนโยบายของรัฐบาลประเด็นนโยบายเกี่ยวกับผู้ประกอบการรายย่อย หรือเอสเอ็มอี SMEs ว่า เมื่อได้อ่านและรับฟังคำแถลงนโยบายของรัฐบาลชุดนี้ ให้ความสำคัญของ SMEs น้อยเกินไปมาก โดยในคำแถลงนโยบายรัฐบาลพูดถึง SMEs มีแค่ 1 คำ ในประเด็นกำลังฟื้นตัวจากวิกฤติโควิด-19
ทั้งที่พบกับปัญหาเศรษฐกิจมานานตั้งแต่ก่อนโควิด-19 หากมองแค่ภาพกว้าง คิดว่าการกระตุ้น แจกเงินเพียงครั้งเดียวจะฟื้นเศรษฐกิจได้ แต่ไม่ลงลึกรายละเอียดสาเหตุแต่ละปัญหา จะไม่สามารถแก้ไขปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจได้ กังวลว่าจะแก้ไขไม่ตรงจุด จึงขออภิปรายใน 5 ประเด็น เพื่อหวังว่ารัฐบาลจะรับไปปรับปรุง ดังนี้
ยกตัวอย่าง นโยบายเติมเงินดิจิทัล เดิมเข้าใจว่ารัฐบาลกำหนดให้ใช้เงินได้ในรัศมี 4 กิโลเมตร สาเหตุคือต้องการให้กระจายการใช้เงิน แต่อยากให้รัฐบาลทบทวน เปลี่ยนเป็นกำหนดว่า เงินดิจิทัลใช้ได้เฉพาะร้านรายย่อย หรือ SME เท่านั้น เพราะถ้าต้องการให้เศรษฐกิจฟื้น ต้องย้อนไปดูว่าเป็นเพราะผู้ประกอบการรายย่อยใช่หรือไม่ ได้รับผลกระทบมากสุด ควรกำหนดเงื่อนไขเฉพาะไปเลย นี่ต่างหากจึงเกิดการกระจายเม็ดเงินไปทุกพื้นที่ได้จริง ตามวัตถุประสงค์ของนโยบายรัฐบาล หรือถ้าวัตถุประสงค์รัฐบาลต้องการเห็นเม็ดเงินสะพัด เกิดการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจหลายรอบ การกำหนดเงื่อนไขให้หมุนเงินกันเฉพาะรายย่อยเท่านั้น ย่อมตอบโจทย์วัตถุประสงค์มากกว่า
สิ่งที่ SME คาดหวังจากรัฐบาลคือเพิ่มวงเงินค้ำประกันสินเชื่อ โดยเฉพาะรายย่อย รายเล็กที่มีความเสี่ยงสูง สถาบันการเงินไม่อยากอนุมัติสินเชื่อให้ ถ้ารัฐบาลไม่มาค้ำประกัน เหมือนเราเคยมองปัญหานี้ และทางแก้ไขไว้เหมือนกัน เราต้องการสนับสนุนนโยบายนี้ให้เกิดขึ้นจริง แต่วันนี้ไม่เห็นในนโยบาย ก็ค่อนข้างน่าผิดหวัง เราจะได้เห็นการสนับสนุน SME ให้เข้าถึงสินเชื่อในระบบในรัฐบาลชุดนี้ได้หรือไม่
รัฐบาลต้องมีโครงการค้ำประกันหนี้เสียให้ SME แยกตามแต่ละขนาดไปเลย เพราะมีหนี้เสียแตกต่างกัน ไม่ว่ารายเก่า รายใหม่ ผู้มีประวัติบูโร ผู้ที่มีข้อมูลที่อยู่ในหน่วยงานรัฐ สามารถมาขอกู้ได้โดยสะดวก ขอให้ธนาคารรัฐช่วยอนุมัติผู้มีประวัติบูโรด้วย
“ในยามหมุนเงิน ความไวเป็นเรื่องของปีศาจ ถ้ารัฐบาลทำควบคู่กัน SMEs คงไม่ต้องหนีไปกู้นอกระบบ นี่คือมาตรการไม่ให้คนไปกู้นอกระบบโดยไม่จำเป็น แต่ผู้ที่ไปกู้นอกระบบไปแล้ว รัฐบาลควรเจรจาปรับหนี้ให้เป็นธรรม ดังนั้น จึงต้องการเสนอรัฐบาลชุดนี้ว่า หากต้องการปรับโครงสร้างหนี้ที่เป็นธรรม ต้องทำทั้งไม้แข็ง และไม้อ่อน คือนิรโทษกรรมเจ้าหนี้ที่ยอมปรับโครงสร้างให้เป็นธรรม”
สำหรับกฎหมายล้าสมัยนั้น เป็นจุดตั้งต้นของส่วย และระบบหัวในราชการ สร้างอุปสรรค สร้างความไม่เป็นธรรมกับผู้ประกอบการด้วยกัน ขอเป็นความชัดเจนว่า รัฐบาลชุดนี้กฎหมายใดเร่งด่วนต้องแก้ไขปรับปรุงบ้าง ถ้าให้ยกตัวอย่างชัดที่ผู้ประกอบการเจออยู่คือ โรงแรมขนาดเล็ก แรงงานต่างชาติ โซนนิ่งสถานบริการ นอมินีธุรกิจต่างชาติ
ส่วนกฎหมายเอื้อการผูกขาด เช่น การผลิตสุรา ส่งออกข้าว นำเข้าปุ๋ย โควตาแม่ไก่ไข่ เป็นต้น หวังว่ารัฐบาลจะเร่งดำเนินการเพื่อปลดล็อคเศรษฐกิจได้โดยเร็ว
อย่างไรก็ดี ที่ไม่ชัดเจนในคำแถลงนโยบายคือ ปลดล็อคกฎระเบียบสุราพื้นที่บ้าน เป็นคำถามว่าการแก้กฎหมายเล็กน้อยพอเป็นพิธีหรือไม่ เพราะหากล็อคมูลค่าเศรษฐกิจสุรา 5 แสนล้านบาทไว้กับเจ้าสัว ตนก็ว้าวุ่นเลย เพรานี่คือโอกาสของ SMEs ไทย ในการต่อยอดสร้างโอกาสให้กับประเทศ และเกษตรกรจำนวนมาก
"จึงมีคำถามตัวโตว่า รัฐบาลชุดนี้กล้าหาญพอ ทลายกฎหมายผูกขาดเหล่านี้ ที่ไม่ได้มีแค่สุราเฉพาะเจ้าสัวพันล้าน ไม่ว่าจะส่งออกข้าว การนำเข้าปุ๋ย โควตาแม่ไก่ไข่ที่ผูกขาดบริษัทเจ้าสัวเท่านั้น ต้องการรัฐบาลตอบให้ชัดว่าจะทลายทุนผูกขาดเหล่านี้หรือไม่ หรือจะทำอยู่ทำต่อกฎหมายผูกขาดเหล่านี้ต่อไป เพราะหากรัฐบาลชุดนี้ไม่กล้ายกเลิกกฎหมายผูกขาด โอกาสคนไทยได้อ้าปากมีกินมีใช้คงไม่เกิด และเสียดายโอกาสของไทยอย่างมาก ถ้าไทยเปลี่ยนรัฐบาลพลเรือนทั้งที แต่ยังอยู่ภายใต้ทุนผูกขาดแบบเดิม ๆ เพราะการเปลี่ยนแปลงที่ไม่เหมือนเดิม ประชาชนคาดหวังจริง”