วันที่ 12 กันยายน 2566 ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ผู้พิพากษาศาลอาญานั่งบัลลังก์ 909 อ่านคำพิพากษาคดีหมายเลขดำที่ อ 331/2564 คดีนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ โจทก์ ฟ้อง นายวัชระ เพชรทอง จำเลย ข้อหาฟ้องเท็จ เบิกความเท็จ อันเนื่องมาจากพ.ร.บ.คำสั่งเรียกให้ นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ มาให้การเรื่องชายชุดดำ ศาลพิพากษายกฟ้อง
ตอนหนึ่งของคำพิพากษาระบุ ศาลแขวงดอนเมืองพิพากษาลงโทษจำคุกโจทก์ 8 เดือน ต่อมาศาลฎีกาพิพากษายกฟ้อง ตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2318/2563 คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า จำเลยกระทำความผิดฐานฟ้องเท็จ และเบิกความเท็จในคดีอาญาตามฟ้องหรือไม่
นางสาวศกิมินาภรณ์ สุวรรณรงค์ และนางสาวชิดชนก ภู่รินันท์ เป็นข้าราชการปฏิบัติการตามอำนาจหน้าที่ในขณะนั้น มิได้มีสาเหตุโกรธเคืองกับฝ่ายใดเชื่อว่าเบิกความตามความเป็นจริงว่า ขณะลงมติมีคณะกรรมาธิการครบถ้วนตามกฎหมายแล้วมิใช่เป็นการใช้อำนาจเป็นการเฉพาะตัว อันเป็นการก้าวก่ายหรือแทรกแซงการปฏิบัติหน้าที่ของอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษแต่อย่างใด จำเลยจึงปฏิบัติหน้าที่ในฐานะรองประธานกรรมาธิการกรณีออกหนังสือหรือคำสั่งเรียกนายธาริตเป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมาย
จำเลยเบิกความว่า โจทก์เป็นคู่ขัดแย้งทางการเมืองกับจำเลย และในที่สุดคณะกรรมการการเลือกตั้ง มีคำสั่งยกคำร้องของโจทก์
พฤติการณ์ดังกล่าวของโจทก์ย่อมทำให้จำเลยเชื่อโดยสุจริตว่า โจทก์สมคบกับ นายธาริตโดยแบ่งหน้าที่กันกลั่นแกล้งเพื่อให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง ตรวจสอบการใช้อำนาจหน้าที่ของจำเลย ซึ่งอาจมีผลกระทบต่อสมาชิกภาพการเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของจำเลย โดยมิพักต้องคำนึงถึงขนาดว่าต้องมีพยานยืนยันตัวโจทก์รู้เห็นกับนายธาริตหรือไม่
พฤติการณ์ดังกล่าวเป็นเรื่องปกติธรรมดา ที่อาจทำให้จำเลยต้องเข้าใจเช่นนั้นได้ การที่จำเลยฟ้องคดีอาญาต่อโจทก์ และนายธาริต จึงเป็นการใช้สิทธิโดยสุจริตเพื่อปกป้องการปฏิบัติหน้าที่ของจำเลย
การฟ้องเท็จ คือ การนำเอาความเท็จอันเป็นองค์ประกอบความผิดทางอาญาที่เป็นเท็จมาฟ้อง มิใช่ถือเอาผลแพ้ชนะแห่งคดีมาเป็นข้อชี้ขาด แม้ศาลฎีกาจะมีคำพิพากษายกฟ้อง ในคดีที่จำเลยฟ้องโจทก์ ก็หาใช่หลักฐานแห่งการฟ้องเท็จไม่
นอกจากนี้ไม่ปรากฏจำเลยรู้ว่า ข้อความที่ฟ้องและเบิกความนั้นเป็นเท็จ แต่ได้บรรยายฟ้องและเบิกความตามข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น และที่ปรากฏจากเอกสารราชการภายหลังจากคณะกรรมการการเลือกตั้งยกคำร้อง อันเป็นการใช้สิทธิป้องกันตนและส่วนได้เสียของตน
ฉะนั้น การที่จำเลยฟ้องคดีอาญากล่าวหาโจทก์ว่าแจ้งความเท็จและแจ้งให้เจ้าพนักงานจดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารราชการและหมิ่นประมาท จึงเป็นการใช้สิทธิโดยสุจริตตามกฎหมาย หาใช่แกล้งกล่าวหาโจทก์ไม่ การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานฟ้องเท็จ
ดังนั้น เมื่อจำเลยไม่มีความผิดฐานฟ้องเท็จแล้ว การที่จำเลยเบิกความไปตามที่ฟ้องนั้นจึงไม่เป็นความผิดฐานเบิกความเท็จด้วย
พิพากษายกฟ้อง
นายวัชระ กล่าวว่า ขอบคุณ นายเรืองไกร ที่ฟ้องคดี ทำให้ได้ใช้สิทธิขอเอกสารจากหน่วยราชการต่าง ๆ นำไปส่งให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.) กรณี นายเรืองไกร ถูกร้องเรียนว่าเมื่อครั้งดำรงตำแหน่งโฆษกคณะกรรมาธิการงบประมาณฯ ซึ่งถือว่าเป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมาย ได้คุยโม้โอ้อวดว่าได้รับรถเบนซ์จากผู้ใหญ่ใจดี 2 คันซ้อน ๆ สีดำ 1 คัน สีขาว 1 คัน
แต่ปรากฏว่าจดทะเบียนในชื่อ นายเรืองไกรเพียง 1 คัน อีก 1 คันจดทะเบียนในชื่อของบุคคลใด นายเรืองไกร กล้าเปิดเผยหรือไม่อย่างนี้ซุกทรัพย์สินหรือไม่ ป.ป.ช.ต้องรีบสรุปสำนวนได้แล้ว ขอความกรุณา ป.ป.ช. อย่าได้ประวิงเวลา
อนึ่งก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2566 ศาลอาญาได้อ่านคำพิพากษา คดี อ.240/2566 นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ โจทก์ฟ้อง นายวัชระ เพชรทอง จำเลย ข้อหาฟ้องเท็จ เบิกความเท็จ ศาลพิพากษายกฟ้องเช่นกัน