นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พาณิชย์ ในฐานะประธานคณะกรรมการเพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางในการทำประชามติ เพื่อแก้ไขปัญหาความเห็นที่แตกต่าง ในเรื่องรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 กล่าวถึงความคืบหน้าการดำเนินงานว่า คณะอนุกรรมการฯทั้ง 2 ชุดได้เริ่มทำงานไปแล้ว
ทั้งนี้ อนุกรรมการศึกษาฯ ได้พูดคุยกับนักวิชาการ ผู้เชี่ยวชาญทางกฏหมาย นักการเมือง โดยคุยกับนายเสรี สุวรรณภานนท์ ประธานกรรมาธิการการพัฒนาการเมืองและการมีส่วนร่วมของประชาชน วุฒิสภา เพื่อไปตกลงกันในการจะรับฟังความเห็น ในเรื่องของการตั้งคำถามโดยแจกให้ สว.ได้แสดงความเห็น ว่าอยากเห็นรัฐธรรมนูญแบบใด อย่างไร
นอกจากนี้ยังได้คุยกับนายพริษฐ์ วัชรสินธุ์ ประธานคณะกรรมาธิการ การพัฒนาการเมือง การสื่อสารมวลชน และการมีส่วนร่วมของประชาชน สภาผู้แทนราษฎร ถึงแนวทางคำถามที่จะถาม สส.เนื่องจากพรรคการเมืองมีบทบาทสำคัญในการที่จะยกร่าง ส.ส.ทั้ง 500 คน เป็นตัวแทนประชาชนจากกลุ่มต่าง ๆ
ขณะที่ สว.ก็เป็นตัวแทนวิชาชีพต่าง ๆ การพูดคุยจะได้รู้ว่า สว.และ สส.มีความปรารถนาอย่างไร เพราะทั้งสส.และสว. มีอำนาจที่จะตัดสินใจผ่านหรือไม่ผ่านรัฐธรรมนูญ ดังนั้น การได้รับรู้ความเข้าใจและความคิดของทั้ง 700 คน จะทำให้เราได้เห็นว่าแนวทางที่รัฐธรรมนูญจะผ่านได้จะเป็นอย่างไร
นอกจากนี้จะมีวิชาชีพต่าง ๆ ที่จะไปรับฟังแนวทาง ทั้งจากกลุ่มนักศึกษาที่จะหารือประมาณต้นเดือนพฤศจิกายนนี้ กลุ่มทหาร ตำรวจ ภาคประชาชนเช่น สมัชชาคนจน กลุ่มพีมูฟ และไอลอว์ โดยพูดคุยจะทำให้ได้รับฟังความเห็นจากกลุ่มต่าง ๆ ชัดเจนขึ้น และทำให้ประชาธิปไตยเป็นหลักการตามที่เราต้องการมากที่สุด รวมถึงพิจารณาว่าข้อจำกัด ของฝ่ายต่าง ๆ มีอย่างไรเพื่อจะได้นำไปแก้ไข
ทั้งนี้ คาดว่า สิ้นเดือนธันวาคมนี้ คณะอนุกรรมการศึกษาฯจะได้ข้อสรุป และต้นเดือนมกราคมหรือต้นไตรมาสแรกของปี 67 จะเสนอเข้าคณะกรรมการชุดใหญ่ พิจารณา ก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) เคาะสรุปการทำประชามติ โดยมีหัวข้อและคำถาม ตามที่คณะอนุกรรมการศึกษาฯได้รวบรวม
ต่อข้อซักถามที่ว่า พรรคก้าวไกล มีข้อเสนอเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาบ้างหรือไม่ นายภูมิธรรมกล่าวว่า ดูจากที่เขาเสนอญัตติเรื่องรัฐธรรมนูญ ยังยืนยันให้ยกร่างทั้งฉบับ โดยไม่ยกเว้นหมวด 1 และหมวด 2 ซึ่งหลักการของรัฐบาลเห็นแตกต่างอยู่แล้ว และเสียงส่วนใหญ่ในสภาเป็นของฝ่ายรัฐบาล
ยืนยันจุดยืนไม่แตะหมวด 1 หมวด 2 เพราะไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องไปทำให้เกิดความเข้าใจขัดแย้งกัน และกลายเป็นสร้างความขัดแย้งใหม่ และถ้าเป็นความขัดแย้งในสิ่งที่ สส. และ สว. ไม่เห็นด้วย ร่างรัฐธรรมนูญถึงแม้จะเขียนให้ดีอย่างไรก็ไม่ผ่าน แต่เรามุ่งหวังอยากเห็นรัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตยให้มากที่สุด เท่าที่ทำได้และมุ่งหวังจะให้ผ่าน เอามาใช้ได้ในการเลือกตั้งครั้งใหม่
"หลักการประชาธิปไตยต้องฟังเสียงส่วนใหญ่ในสังคม ถ้าปรารถนาอยากเห็นประชาธิปไตยจริง ๆ ก็ไม่ควรยืนยันในความคิดตน ถ้าเราไม่ผ่านไปสิ่งที่เกิดขึ้นจะกลายเป็นว่า ได้แต่เสนอรัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตยมาก ๆ ในความเห็นของเรา แต่ไม่เคยผ่านสามารถเอามาใช้ได้
ถ้าเข้าใจตรงนี้และเห็นว่า สังคมมีความเห็นที่แตกต่าง ไม่มีความเห็นใครถูกต้องที่สุด แต่เมื่ออยู่ร่วมกันก็ต้องหารือกัน โดยใช้จุดดีที่สุด เมื่อสังคมพร้อมก็ค่อยๆพัฒนาไป และวันนี้ก็จะได้ประชาธิปไตยที่ดีมากขึ้นกว่าปี 60 เมื่อมีความเป็นประชาธิปไตยมากขึ้นประชาชนได้รับความคุ้มครองมากขึ้น
เราต้องอยู่กับความจริง ต้องมองเห็นพัฒนาการที่จะแก้ไข เพราะประชาธิปไตยไม่เคยเกิดขึ้นทีเดียวตามที่ใจปรารถนา ทั่วโลกประเทศที่เป็นประชาธิปไตยก็ต้องมีพัฒนาการ อยากให้เข้าใจตรงนี้และช่วยกันทำให้รัฐธรรมนูญผ่าน ไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นคนรุ่นเก่าที่เป็นตัวขัดขวาง ทำให้ประเทศเป็นประชาธิปไตยลดลง ไม่สามารถก้าวข้ามความขัดแย้งต่างๆที่เกิดขึ้น ก็จะไม่เป็นผลดีกับสังคม" นายภูมิธรรม กล่าว