“สรรเพชญ”แนะรัฐบาลยึดโยงพรบ.วินัยการเงินการคลังดันดิจิทัลวอลเล็ต

10 ม.ค. 2567 | 06:23 น.
อัพเดตล่าสุด :10 ม.ค. 2567 | 06:28 น.

“สรรเพชญ บุญญามณี” ส.ส.สงขลา แนะรัฐบาลยึดโยง พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ เป็นสำคัญในการทำนโยบายดิจิทัล วอลเล็ต

วันนี้ (10 ม.ค.67) นายสรรเพชญ บุญญามณี ส.ส.สงขลา ได้ให้ความเห็นกรณีสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาส่ง ความเห็นกรณี การออก พ.ร.บ.กู้เงิน 5 แสนล้านบาท เพื่อจัดทำนโยบาย ดิจิทัล วอลเล็ต  กลับมายังกระทรวงการคลัง ว่า ตามที่ตนได้รับทราบข่าวกฤษฎีกาไม่ได้ฟันธงว่ารัฐบาลสามารถจัดทำนโยบายดิจิทัล วอลเล็ต  ได้หรือไม่ แต่กฤษฎีกาทำหน้าที่ส่งความเห็นในเชิงกฎหมายเพียงเท่านั้น 
โดยตนเห็นว่า กฤษฎีกากำลังบอกรัฐบาลว่า หากจะจัดทำนโยบายดิจิทัล วอลเล็ต ต้องพิจารณาภายใต้กฎหมายใดเป็นพิเศษ 

“ผมเห็นว่านโยบายรัฐบาล คือ ฉันทามติของสังคมที่ไม่สามารถหักล้างได้ ขณะเดียวกัน หากสุดท้ายมันผิดกฎหมายจริงๆ  รัฐบาลจำเป็นรับผิดชอบทั้งทางกฎหมายและการเมืองเป็นอย่างน้อย เพราะมันคือนโยบายหาเสียงที่จำเป็นตรวจสอบความถูกต้องตามกฎหมาย ตั้งแต่ก่อนจะประกาศหาเสียงเลือกตั้ง”

กรณีตัวนโยบายดิจิทัล วอลเล็ต 10,000 บาท เป็นนโยบายเรือธงของพรรคเพื่อไทย ที่ประกาศโดย นายเศรษฐา ทวีสิน ซึ่งสร้างความฮือฮาให้กับประชาชนเป็นอย่างมาก แต่ภายใต้ความฮือฮาก็มีข้อกังขาถึงความเป็นไปได้ของนโยบาย มาจนถึงวันนี้ ความชัดเจนของนโยบายก็ยังไม่คืบหน้า เพราะรัฐบาลไม่มีเงินที่จะมาทำนโยบาย 

อีกทั้งรัฐบาลเองก็มีความสับสนในช่วงแรกว่าจะกู้หรือไม่กู้ จะใช้เงินผ่าน Platform หรือ Application ซึ่งรัฐบาลเองก็ยังไม่มีความ โดยนโยบายดิจิทัล วอลเล็ต  ที่พรรคเพื่อไทยได้ยื่นไว้กับ กกต. ตามมาตรา 57 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 เรื่องของการกำหนดนโยบายของพรรคการเมือง ที่ต้องให้จ่ายเงิน พบว่าเป็นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านกระเป๋าเงินดิจิทัล วงเงิน 560,000 ล้านบาท ซึ่งที่น่าสังเกตคือ ที่มาของเงินที่จะใช้ในการดำเนินการโดยจะมาจาก 4 แหล่ง คือ

1.รายได้ที่รัฐจัดเก็บได้เพิ่มขึ้นในปี 2567 จำนวน 260,000 ล้านบาท

2.ภาษีที่ได้มาจากผลคูณต่อเศรษฐกิจจากนโยบาย 100,000 ล้านบาท

3. การบริหารจัดการงบประมาณ 110,000 ล้านบาท

4.การบริหารงบประมาณที่ซ้ำซ้อน 90,000 ล้านบาท 

“ไม่มีเรื่องของการกู้ จึงหมายความว่า นโยบายนี้จะสามารถดำเนินการได้โดยใช้เงินที่มีอยู่แล้ว โดยไม่ต้องสร้างภาระให้กับประเทศเพิ่ม”  

นายสรรเพชญ ยังได้ตั้งข้อสังเกตว่า การทำนโยบายดิจิทัล วอลเล็ต  หากรัฐบาลจะดึงดันให้สามารถดำเนินการภายในปี 2567 เท่ากับรัฐบาลนายเศรษฐา จะต้องกู้เงินถึง 1.1 ล้านล้านบาท 

เพราะเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาสภาผู้แทนราษฎรได้พิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 ซึ่งในรายละเอียดไม่ปรากฏนโยบายดิจิทัล วอลเล็ต  และร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ 2567 มีการกู้เงินเพื่อชดใช้เงินคงคลังกว่า 600,000 แสนล้านบาท และหากจะดำเนินการนโยบายดิจิทัล วอลเล็ต  รัฐบาลจะต้องกู้อีก 560,000 ล้านบาท รวมแล้วรัฐบาลนายเศรษฐา จะสร้างหนี้กว่า 1.1 ล้านล้านบาท  

ทั้งนี้ การกู้เงินของรัฐบาลจะต้องเป็นไปตาม พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะมาตรา 53 มาตรา 6 มาตรา 7 และ มาตรา 9 ที่ระบุไว้ว่า “คณะรัฐมนตรีต้องไม่บริหารราชการแผ่นดิน โดยมุ่งสร้างความนิยมทางการเมืองที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศและประชาชนในระยะยาว”

อีกทั้งหากพิจารณาเรื่องของหนี้สาธารณะคงค้าง ณ เดือน พฤศจิกายน 2566 รัฐบาลมีหนี้สาธารณะคงค้างอยู่ที่ 11 ล้านล้านบาท ซึ่งหากต้องกู้เพื่อทำนโยบายดิจิทัล วอลเล็ต  ตนไม่เห็นด้วยกับแนวทางดังกล่าว การกระตุ้นและพัฒนาเศรษฐกิจระยะยาวมันมีอยู่หลากหลายแนวทาง หลายแนวทางมันนำไปสู่การสร้างงาน สร้างอาชีพ การฝึกทักษะใหม่ๆ ในการประกอบอาชีพ การลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน ฯลฯ 

“ความท้าทายของรัฐบาล หรือ พรรคเพื่อไทย คือ มาตรฐานนโยบายการเมืองกับความถูกต้องทางกฎหมาย และจำเป็นต้องกลับไปสู่จุดเริ่มต้นของนโยบายที่ให้ไว้เป็นสัญญาประชาคมว่าดิจิทัล วอลเล็ต  จะเป็นนโยบายที่ไม่ต้องกู้เงิน ซึ่งรัฐบาลจะต้องนำไปปฏิบัติให้เกิดขึ้นจริง” นายสรรเพชญ กล่าว