ผู้สื่อข่าวรายงานว่าวันนี้(5ก.พ.67) ศาลแขวงปทุมวัน ถนนนครไชยศรี ศาลนัดฟังคำพิพากษา ในคดีหมายเลขดำที่ 767/2563ที่ พนักงานอัยการคดีศาลแขวง 6 (ปทุมวัน) เป็นโจทก์ยื่นฟ้องจำเลยรวม 8 ราย ร่วมในการชุมนุมแฟลชม็อบ บริเวณสกายวอล์ก(Sky walk) สี่แยกปทุมวัน หน้าหอศิลปวัฒนธรรมกรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 14 ธ.ค.2562
โดยจำเลย 8 รายที่ ถูกยื่นฟ้องประกอบด้วย
1.น.ส.ณัฏฐา มหัทธนา 2.นายพริษฐ์ ชีวารักษ์ 3. นายธนวัฒน์ วงค์ไชย 4.นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ
5.นายปิยบุตร แสงกนกกุล 6.น.ส.พรรณิการ์ วานิช 7.นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ และ8.นาย ไพรัฏฐโชติก์ จันทรขจร
เป็นจำเลย1-8 ในความผิด ตามพ.ร.บ. การชุมนุมสาธารณะฯ
โดยในวันนี้จำเลยเดินทางมาศาลพร้อมทนายความ ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า เมื่อจำเลยประกาศ เชิญชวนผู้ชุมนุมมาร่วมชุมนุมผ่าน Facebook และทวิตเตอร์ ของกลุ่มจำเลย เอง ย่อมรู้อยู่แล้วว่าหากประกาศโพสต์เชิญชวนจะต้องมีประชาชนมาร่วมชุมนุม จำนวนมาก ดังนั้นจำเลยจึงเป็นผู้จัดการชุมนุมโดยแบ่งหน้าที่กันทำ
ศาลเห็นว่าจำเลยไม่สามารถรับผิดชอบต่อการชุมนุมไม่ให้กีดขวางการสัญจรของประชาชนต่อระบบขนส่งสาธารณะและการชุมนุมอยู่ในเขตพระราชฐาน ใกล้กับพระราชวังสระปทุมฯในระยะ 150 เมตร พิพากษาจำคุก จำเลยทั้ง8 จำนวน 4 เดือนปรับ 10,000 บาท เมื่อพิเคราะห์อายุประวัติสถานะทางสังคมความมีชื่อเสียงและมีผู้ติดตามจำนวนมากจำเลยไม่เคยต้องโทษจำคุกมาก่อนและการชุมนุมเป็นการแสดงออกแสดงความคิดเห็นทางการเมืองไม่ใช่อาชญากรรมร้ายแรงเห็นควรให้รอลงอาญาเป็นเวลา 2 ปี
ส่วนกรณีที่จำเลยไม่แจ้งการชุมนุมและใช้เครื่องขยายเสียงโดยไม่ได้รับอนุญาต เป็นความผิดตามพ.ร.บ.ปรับพินัย ศาลสั่งปรับ 20,200 บาท
นายกฤษฎางค์ นุตจรัส ทนายความศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ในฐานะทนายความ กล่าวภายหลังศาลพิพากษาว่า จำเลยยังติดใจในประเด็นเรื่องของระยะ 150 เมตรของเขตมาตรฐานว่าวัดจากจุดไหน ซึ่งพฤติการณ์ ดังกล่าวมีการ เทียบเคียงกับคดีอื่น ที่มีการชุมนุมสถานที่เดียวกัน จุดเดียวกัน ซึ่งศาลอาญากรุงเทพฯใต้เคยมีคำพิพากษายกฟ้องข้อหาชุมนุมใกล้เขตพระราชฐานในระยะ 150 เมตร ทั้งที่เป็นการชุมนุมจุดเดียว
อีกทั้งในประเด็นเรื่องของการไม่แจ้งการชุมนุมต่อเจ้าพนักงานเจ้าหน้าที่ ศาลแขวงจังหวัดเชียงรายเคยมีคำวินิจฉัยว่าไม่จำเป็นต้องขออนุญาตเพียงแต่ต้องแจ้ง พนักงานสอบสวนให้ทราบเท่านั้น แต่หากมีการโพสต์ผ่านสื่อโซเชียลมีเดียก็ถือว่าเจ้าหน้าที่รับรู้แล้ว ซึ่งคดีนี้ตำรวจรับรู้ ตั้งแต่วันที่ 13 ธันวาคม 2562 แล้วว่ามีการชุมนุม เนื่องจากจำเลยมีการโพสต์ผ่านสื่อสังคมออนไลน์ และความคิดเห็นส่วนตัวในฐานะทนายคิดว่าจำเลยควรที่จะอุทธรณ์คดี เรื่องนี้ไม่ต้องการเอาชนะ เเต่ต้องการความจริง ตนเคารพคำพิพากษาศาลเเต่เคารพข้อเท็จจริงมากกว่า ส่วนอัยการจะอุทธรณ์ขอให้ลงโทษสถานหนักกว่าเดิมหรือไม่ต้องถามทางอัยการ
ส่วนนายพิธา กล่าวว่า จากการหารือกับจำเลยคนอื่น ว่า จะ ต้องยื่นอุทธรณ์คดีเพราะมีประเด็น ข้อเท็จจริงเรื่องของระยะของการชุมนุม ใกล้เขตพระราชฐาน ว่าอาจจะมีความคลาดเคลื่อนของ 150 เมตรว่าวัดจากจุดไหน เพื่อให้เป็นบรรทัดฐานกับคดีอื่นๆ พร้อมระบุว่าการที่ศาลตัดสินในลักษณะนี้ ไม่ทำให้พระก้าวไกลเสียเครดิตทางการเมือง เนื่องจากประชาชนมีความเข้าใจในข้อเท็จจริง ตนเองอยากโฟกัสเรื่องงานเพราะสัปดาห์หน้าจะไปสภาอภิปรายเรื่องของปัญหาการประมง
ทางด้านนายปิยบุตร คดีนี้มีหลายประเด็นในการยื่นอุทธรณ์ต่อ พร้อมเทียบเคียง กับคดีปิดสนามบิน มีผลกระทบจำนวนมาก และเป็นความผิดชัดเจนแต่ศาลพิจารณาสั่งปรับคนละ 20,000 บาท ส่วนคดีการชุมนุมคดีนี้ เป็นการชุมนุมใช้ระยะเวลาไม่นานหลังเลิกชุมนุมก็มีการช่วยกันเก็บขยะ ศาลใช้ระยะเวลาอ่านคำพิพากษานานกว่าการชุมนุมดังกล่าวด้วยซ้ำสุดท้าย ถูกจำคุกถึง 4 เดือนปรับ 20,200 บาท เป็นเหตุผลที่จะต้องอุทธรณ์คดีเพื่อให้ศาลสูงพิจารณา ส่วนเรื่องความไม่เหมาะสมของกฎหมายก็อยากจะฝากให้พรรคก้าวไกลไปพิจารณาแก้ไขในสภาต่อไป