ทางออก แก้ไขรัฐธรรมนูญ ไม่สูญเปล่า แนะแก้ พ.ร.บ.ประชามติ คู่ขนาน

21 เม.ย. 2567 | 03:54 น.
อัปเดตล่าสุด :21 เม.ย. 2567 | 04:05 น.

ฉายทางออก การแก้ไขรัฐธรรมนูญ ไม่ให้สูญเปล่า ไม่เสียเวลา คณะกรรมการศึกษาแนวทางการทำประชามติ ชี้ควรใช้กติกาประชามติใหม่ โดยแก้ไข พ.ร.บ.ประชามติ คู่ขนานไปด้วย ให้ทันเวลา

หลังจากที่ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเอกฉันท์ 7 ต่อ 0 เมื่อวันที่ 17 เม.ย. 67 สั่งไม่รับคำร้องไว้วินิจฉัยในคดีที่ประธานรัฐสภามีหนังสือขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 210 วรรคหนึ่ง (2) เกี่ยวกับหน้าที่และอำนาจของรัฐสภาในการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 256 รวม 2 ประเด็น คือ

1. รัฐสภาจะบรรจุวาระและพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม ที่มีบทบัญญัติให้จัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้หรือไม่ โดยยังไม่มีผลการออกเสียงประชามติ ว่าประชาชนประสงค์จะให้มีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่

2. ในกรณีที่รัฐสภาสามารถบรรจุร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม ที่มีบทบัญญัติให้จัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้ การจัดให้ประชาชนผู้ทรงอำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญออกเสียงประชามติเสียก่อนว่า สมควรมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่ จะต้องกระทำในขั้นตอนใด  

ต่อมา นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา และประธานสภาผู้แทนราษฎรเปิดเผยว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ปลอดภัยเป็นไปตามที่นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พาณิชย์ ในฐานะประธานกรรมการเพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางในการทำประชามติ เพื่อแก้ไขปัญหาความเห็นที่แตกต่างในเรื่องรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 ระบุไว้ชัดเจนว่า

รัฐบาลต้องดำเนินการทำประชามติก่อนแก้ไขรัฐธรรมนูญ ต้องถามประชาชน 3 รอบ ถึงจะปลอดภัย แต่เสียเวลาและงบประมาณ นำมาสู่กระแสวิพากษ์วิจารณ์ว่า รัฐบาลพยายามถ่วงเวลา และเป็นการดึงศาลรัฐธรรมนูญมาเป็นคู่กรณีด้วยหรือไม่

ทางออก แก้ไขรัฐธรรมนูญ ไม่สูญเปล่า แนะแก้ พ.ร.บ.ประชามติ คู่ขนาน

ฐานเศรษฐกิจ สัมภาษณ์พิเศษ นายวัฒนา เตียงกูล คณะกรรมการศึกษาแนวทางการทำประชามติ และที่ปรึกษากฎหมายพรรคเพื่อไทย ได้เปิดเผยว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญ ถูกบรรจุเป็นนโยบายเร่งด่วน ในการแถลงนโยบายต่อรัฐสภา เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2566 และได้นำเรื่องดังกล่าวเข้าสู่ที่ประชุมครม.นัดแรก

โดยที่ประชุมครมได้มีมติมอบหมายให้รองนายกฯ ภูมิธรรม ไปดำเนินการในเรื่องดังกล่าว และได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการ "เพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางในการทำประชามติ เพื่อแก้ไขปัญหาความเห็นที่แตกต่างในเรื่องรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560" ลงนามโดย นายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2566 พร้อมทั้ง ตั้งคณะอนุกรรมการ เพื่อขับเคลื่อนการแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยทันที ยืนยันว่าไม่ได้มีการ เตะถ่วงดึงเวลาแต่อย่างใด

สำหรับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ 4/2564 เป็นที่มาให้รัฐบาลต้องศึกษาว่าต้องทำประชามติกี่ครั้ง จึงไม่ขัดกับคำวินิจฉัยดังกล่าว ซึ่งขณะนี้ นับได้ว่า ต้องยึดถือแนวทางการทำประชามติ 3 ครั้ง โดยรายละเอียด ของการทำประชามติในแต่ละครั้ง เบื้องต้น ในครั้งแรก ทำก่อนที่ จะ มีการยกร่างแก้ไขเพิ่มเติม โดยจะมีการถามประชาชนว่าเห็นชอบหรือไม่ที่จะ ยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยกระบวนการของสภาร่างรัฐธรรมนูญ(สสร.)

นายวัฒนา เตียงกูล คณะกรรมการศึกษาแนวทางการทำประชามติ และที่ปรึกษากฎหมายพรรคเพื่อไทย

การทำประชามติครั้งที่ 2 จะเกิดขึ้นหลังจากมีการเสนอร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม โดยมีบทบัญญัติในหมวด 15/1 ว่าด้วยการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เข้าไป ส่วนที่มาของสสร. จะถูกบรรจุไว้ในร่างแก้ไขเพิ่มเติมฉบับนี้ หากผ่านสภาทั้ง 3 วาระ จึงมีการทำประชามติครั้งที่ 2 ขึ้น ว่าประชาชนเห็นชอบ กับร่างนี้หรือไม่

หากประชาชนเห็นชอบ ในประชามติครั้งที่ 2 จึงจะนำไปสู่การเลือกตั้งสสร. เพื่อให้เข้ามาทำหน้าที่ยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยจะไม่มีการแก้ไขหมวด 1 และหมวด 2 เมื่อคณะกรรมการ หรือกรรมาธิการ ที่สสร.ตั้งขึ้นร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่แล้วเสร็จ จะต้องนำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่นี้เข้าสู่ที่ประชุมรัฐสภาเพื่อให้ความเห็นชอบ เพียงครั้งเดียว หากผ่านสภา จึงจะนำไปสู่การทำประชามติครั้งที่ 3 

เมื่อประชาชนเห็นชอบในการทำประชามติครั้งที่ 3 แล้ว ก็จะเข้าสู่กระบวนการทูลเกล้าฯร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เพื่อรอการโปรดเกล้าฯ และประกาศใช้ต่อไป

โดยส่วนตัวมีความเห็นว่าขณะนี้หลายฝ่าย มีความห่วงใยและกังวลเกี่ยวกับรายละเอียด เงื่อนไข ของการทำประชามติ ในมาตรา 13 ที่กำหนดว่า จะต้องมีผู้ออกมาใช้สิทธิ์เกินกึ่งหนึ่ง ของจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง และผลของการทำประชามตินั้น จะต้องได้รับเสียงเกินกึ่งหนึ่งของจำนวนผู้มาใช้สิทธิ์จึงจะถือว่าได้ข้อยุติ

เงื่อนไขดังกล่าวจึงถือว่าไม่ใช่เรื่องง่าย จึงนำมาสู่ความคิดเห็น ของพรรคร่วมรัฐบาลหลายพรรค รวมทั้งพรรคก้าวไกลว่า ควรต้องมีการแก้ไขกฎหมายประชามติ เพื่อไม่ให้การทำประชามติสูญเปล่า โดยอาจแก้ไขให้เรียบร้อย ก่อนมีมติให้ออกเสียงประชามติ หรืออาจทำคู่ขนานกันไปก็ได้

สำหรับการแก้ไขกฎหมายประชามตินั้น ขณะนี้ได้มีพรรคการเมืองอย่างน้อย 2 พรรค เสนอร่างแก้ไขเข้าไป ในสภาแล้ว รอเพียงการบรรจุเข้าสู่วาระของที่ประชุมสภา ซึ่งต้องรอการเปิดสมัยประชุมหน้า แต่หากประธานรัฐสภาเห็นว่ามีความจำเป็นเร่งด่วนก็สามารถเปิดประชุมสมัยวิสามัญเพื่อพิจารณาได้ และสามารถทำโดยรวดเร็ว โดยเมื่อผ่านวาระแรก ก็ให้ตั้งกรรมาธิการเต็มสภาแล้ว พิจารณาวาระ 2-3 ต่อเนื่องได้เลย 

หรืออาจทำควบคู่ไปเลยกับการทำประชามติก็ได้ เนื่องจากการทำประชามตินั้น หลังจากประกาศมติ ครม. ให้ทำประชามติลงในราชกิจจานุเบกษาแล้ว ยังมีเวลาอีก 90 -120 วัน ที่จะต้องจัดให้มีดำเนินการทำประชามติขึ้น ช่วงเวลาระหว่างนี้ สามารถเปิดประชุมสภาสมัยวิสามัญเพื่อพิจารณาแก้ไขกฎหมายประชามติควบคู่ไปด้วยได้  

แต่จะมีความเสี่ยงในกรณีที่มีผู้ไปยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย กรณีการแก้ไข พ.ร.บ.ประชามติ และหากศาลรัฐธรรมนูญใช้เวลานานในการวินิจฉัย ก็จะทำให้ต้องใช้กฎหมายประชามติฉบับเดิมในการออกเสียงประชามติ

ทั้งนี้นายภูมิธรรม ได้เปิดเผยว่า จะมีการนำเรื่องของการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เข้าสู่ที่ประชุม ครม. ในสัปดาห์หน้า