KEY
POINTS
อยู่นิ่งไม่ได้ จำเป็นต้อง “ดิ้น” เพื่อเอาตัวรอด สำหรับ บิ๊กโจ๊ก-พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รองผบ.ตร.)
หลังถูก บิ๊กต่าย-พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร.ในฐานะรักษาราชการแทน ผบ.ตร. มีคำสั่งให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กับพวกรวม 5 คน ออกจากราชการไว้ก่อน พร้อมกับตั้งคณะกรรมการสอบสวนเอาผิดวินัยร้ายแรง จากคดีฟอกเงินเว็บพนันออนไลน์
“บิ๊กโจ๊ก”ร้องสอบนายกฯ
เมื่อวันที่ 22 เม.ย. 2567 ที่ผ่านมา จึงได้เห็นภาพ บิ๊กโจ๊ก เดินทางไปยังสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อยื่นร้องทุกข์กล่าวโทษให้ป.ป.ช.ตรวจสอบเอาผิด ประกอบด้วย
1.ให้สอบสวนนายกรัฐมนตรี ฐานปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบหรือไม่ (ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157) จากการแต่งตั้ง พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ให้เป็น ผบ.ตร. ในฐานะที่ตนเองเป็นผู้มีส่วนได้เสีย และการออกคำสั่งส่งตัวเองกลับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ก่อนที่รักษาการ ผบ.ตร. จะมีคำสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน
2.ให้ตรวจสอบว่าการสอบสวนของคณะพนักงานสอบสวนชุดที่ทำคดีเว็บพนันออนไลน์ มีอำนาจหน้าที่โดยชอบหรือไม่ และปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือไม่
ซัดตร.สอบสวนไม่ชอบ
“วันนี้ถ้าผิดจริงผมลาออกแล้ว ที่อยู่สู้แบบนี้เพราะการสอบสวนไม่ชอบ ทำเหมือนอาญาเถื่อน นายกฯ สั่งตั้งกรรมการสอบสวน 60 วัน เรียกตัวผมมาช่วยราชการ แต่กรรมการสอบยังไม่ได้เรียกสอบ ยังสอบไม่เสร็จ นายกฯ ก็ส่งตัวกลับต้นสังกัด จากนั้นมีคำสั่งให้ออกจากราชการ เป็นการกลั่นแกล้งไม่ให้ผมเป็น ผบ.ตร. ถ้าผมเป็น รอง ผบ.ตร. อันดับ 6 ก็คงไม่มีปัญหา” บิ๊กโจ๊ก กล่าว
บิ๊กโจ๊ก ระบุด้วยว่า “ประเด็นอำนาจการสอบสวน การออกหมายจับ ถือว่าน็อกตั้งแต่ต้น เมื่อการสอบสวนไม่ชอบ รายละเอียดเนื้อไม่ต้องพูดถึง ถือว่าล้มทั้งกระดาน คนดำเนินคดีอาจต้องติดคุกเสียเอง”
นอกจากการยื่นร้องทุกข์ต่อ ป.ป.ช.ดังกล่าวแล้ว ก่อนหน้านั้น บิ๊กโจ๊ก ก็ได้ยื่นคำร้องต่อ ป.ป.ช. คัดค้านการปฏิบัติหน้าที่ของ “กรรมการ ป.ป.ช.” รายหนึ่ง เนื่องจากมีสาเหตุโกรธเคืองกับตัวเอง
พร้อมมีเอกสารหลุดออกมาพาดพิงถึง บิ๊กป้อม-พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ อดีตรองนายกฯ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ
“บิ๊กโจ๊ก”หวังชนะฟาวล์?
ในรายการเนชั่นอินไซด์ ทางเนชั่นทีวี ช่อง 22 ซึ่งดำเนินรายการโดย วีระศักดิ์ พงศ์อักษร บรรณาธิการอำนวยการเครือเนชั่น และ ปกรณ์ พึ่งเนตร บรรณาธิการบริหารเนชั่นทีวี ได้วิเคราะห์ถึงเกมของ บิ๊กโจ๊ก ในการต่อสู้ครั้งนี้ว่า
1.หวังชนะฟาวล์?
โดยต้องการล้มคดี ด้วยการอ้างว่าพนักงานสอบสวนไม่มีอำนาจ สอบสวนโดยมิชอบ เพราะหลักการสอบสวนในคดีอาญา หากกระบวนการสอบสวนกระทำไปโดยมิชอบ ขัดต่อกฎหมาย หรือพนักงานสอบสวนไม่มีอำนาจ เมื่อคดีถึงศาล ศาลจะยกฟ้องทันที โดยไม่ต้องดูเนื้อคดี หรือ ข้อเท็จจริงในคดี และพนักงานสอบสวนฟ้องซ้ำไม่ได้อีก ภาษากฎหมายเรียก “ชนะฟาวล์”
และเชื่อว่า บิ๊กโจ๊ก ให้น้ำหนักแนวทางนี้มากกว่าการร้องว่าพนักงานสอบสวนไม่มีอำนาจ หรือ ทำสำนวนมิชอบ เพราะอำนาจของพนักงานสอบสวนได้รับการรับรองโดยการอนุมัติหมายจับของศาลอาญาไปแล้ว
กดดันฝ่ายการเมือง
2.ฟ้องนายกฯ
ถือเป็นการชกข้ามรุ่น เล่นใหญ่ถึงระดับผู้นำประเทศ หวังกดดันไปถึงฝ่ายการเมือง ซึ่งเป็นผู้กำหนดทิศทางนโยบาย (ในทางคดีด้วย) อาจทำให้คดีสะดุด, หวังให้ฝ่ายปฏิบัติ (ตำรวจ องค์กรอิสระ) รอดูความชัดเจนของฝ่ายการเมือง
ตรงนี้ถือเป็นการ เขย่า “นายกฯ เศรษฐา ทวีสิน” ซึ่งมีประวัติเป็นนักธุรกิจ ไม่เชี่ยวชาญการบริหารราชการแผ่นดิน และไม่ค่อยมีทีมกฎหมายที่เชี่ยวชาญระบบราชการ
ขณะเดียกวัน บิ๊กโจ๊ก หวังให้ตนเองดูมีความชอบธรรมในการต่อสู้ เพื่อสร้างเครดิตให้ตัวเอง จะได้เจือสมกับสิ่งที่กำลังเคลื่อนไหวเรียกร้องว่า ไม่ได้รับความเป็นธรรม ถูกกลั่นแกล้ง และเบนเป้าจากสิ่งที่กำลังจะทำจริงๆ นั่นก็คือ การให้ ป.ป.ช.รับไต่สวนคดี BNK เหมือนคดีมินนี่
บิ๊กโจ๊ก รู้ว่าจะเจออะไร ถ้า ป.ป.ช.ส่งเรื่องคืนพนักงานสอบสวน นั่นคือปิดเกม จึงต้องการให้ ป.ป.ช.เก็บเรื่องไว้ และรับไต่สวน เมื่อเรื่องไปถึงศาล ก็จะถูกศาลชี้ว่า ป.ป.ช.ไม่มีอำนาจไต่สวน ต้องยกฟ้อง และฟ้องซ้ำไม่ได้ นี่คือเป้าหมายที่แท้จริง
เบื้องหลังค้านกรรมการป.ป.ช.
3.พาดพิง“บิ๊กป้อม”
แม้จะยังไม่มีข้อความกล่าวหา ไม่ได้พาดพิงในทางลบ เพราะไม่ได้บอกว่าใช้อำนาจหน้าที่ หรือบารมีช่วยเหลือกรรมการ ป.ป.ช. ที่ถูกกล่าวหาหรือไม่
แต่การเอ่ยถึงชื่อ “บิ๊กป้อม” เหมือนส่งสัญญาณทางการเมือง เช่น อาจต้องการให้ “บิ๊กป้อม” ซึ่งเชื่ือว่ามีบารมีแผ่กว้างทุกวงการ ทุกองค์กร ให้ช่วยผ่อนหนักเป็นเบาในคดีของตนหรือไม่
หลังจากก่อนหน้านี้ บิ๊กโจ๊ก ร้องให้ตรวจสอบพฤติกรรม “กรรมการ ป.ป.ช.” รายหนึ่ง โดยหวังคัดค้านไม่ให้กรรมการรายนี้ ร่วมลงมติคดีที่เกี่ยวกับตน โดยเฉพาะการส่งสำนวนคดี BNK คืนตำรวจ หรือ ป.ป.ช.จะไต่สวนเอง ซึ่งต้องลงมติภายใน 30 วัน
“บิ๊กโจ๊ก” ทราบดีว่า กรรมการ ป.ป.ช.รายนี้ น่าจะลงความเห็นเป็นลบกับตน จึงชิงร้องเรียนพฤติกรรมก่อน ภาษากฎหมายเรียกว่า “ตั้งรังเกียจ” เทียบเคียบกับ ป.วิแพ่ง มาตรา 11 ว่าด้วยการคัดค้านผู้พิพากษา
...มารอดูกันว่า สถานการณ์ที่ “บิ๊กโจ๊ก”เข้าตาจน จนต้องออกมาเคลื่อนไหวดับเครื่องชน “นายกฯ เศรษฐา” ชน “กรรมการ ป.ป.ช.บางคน” และดึง “บิ๊กป้อม” เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย จะสามารถช่วยพลิกชะตาชีวิตของบิ๊กโจ๊กได้หรือไม่?