เผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ป้ายแดงใน ครม.เศรษฐา2 ชื่อเล่น “ออฟ” เกิดเมื่อวันที่ 22 ก.พ. พ.ศ. 2526 ปัจจุบันอายุ 41 ปี สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีจากคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จากนั้นได้ไปศึกษาต่อที่สหรัฐอเมริกา คว้าปริญญาโทใบแรกจากคณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยแมสซาชูเซตส์ บอสตัน จากนั้น ตามมาด้วยปริญญาโทใบที่สอง และปริญญาเอก จากคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยอิลลินอย ชิคาโก
เผ่าภูมิเป็นนักการเมืองเลือดใหม่ไฟแรง เป็นดาวรุ่งจากพรรคเพื่อไทย ก้าวขึ้นมามีบทบาทในพรรคตั้งแต่ช่วงปี 2562 โดยได้ช่วยดูแลงานด้านเศรษฐกิจและเป็นทีมนโยบายของพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวได้ว่า จุดเริ่มต้นเส้นทางการเมืองของเผ่าภูมิ คือการได้มาช่วยงานใกล้ชิดนายภูมิธรรม เวชยชัย อีกบุคคลระดับคีย์แมนสายตรงจาก “บ้านจันทร์ส่องหล้า” อดีตเลขาธิการพรรค ปัจจุบันเป็นรองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เผ่าภูมิได้ทำงานช่วยมาหลายปีจนได้รับความไว้วางใจจากภูมิธรรม กระทั่งถูกผลักดันให้เข้ามามีบทบาทในกรรมการบริหารพรรคเพื่อไทย และได้รับความสนับสนุนเป็น รมช.คลัง ในที่สุด
และหากพูดถึงโครงการเงินดิจิทัล 10,000 บาท ซึ่งเป็นหนึ่งในนโยบายเรือธงในการเลือกตั้งที่ผ่านมาของพรรคเพื่อไทย ก็ต้องยกเครดิตให้กับทีมนโยบายเศรษฐกิจของพรรคพท. ที่มี “เผ่าภูมิ” เป็นรองเลขาธิการพรรค เป็นโฆษกคณะกรรมการเศรษฐกิจของพรรค และยังเป็นผู้อำนวยการศูนย์นโยบายพรรคเพื่อไทย ไม่ต้องสงสัยเลยว่า เขาคนนี้คือหนึ่งในคีย์แมนผู้ผลักดันโครงการดังกล่าว
เผ่าภูมิได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งใน "นักนโยบายเศรษฐกิจ" ของพรรค ทำงานอยู่ท่ามกลางขุนพลเศรษฐกิจที่มากด้วยประสบการณ์ของพรรค ไม่ว่าจะเป็น นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช อดีตรองนายกรัฐมนตรี อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน และอดีตเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ในรัฐบาลของทักษิณ ชินวัตร, นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง อดีตรองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ, นายพันศักดิ์ วิญญรัตน์ อดีตที่ปรึกษาด้านนโยบายในรัฐบาลทักษิณ, ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ นักเศรษฐศาสตร์ชั้นนำของประเทศ และดร.ปานปรีย์ มหิทธานุกร อดีตผู้แทนการค้าและที่ปรึกษานายกด้านเศรษฐกิจและการต่างประเทศ เป็นต้น
เผ่าภูมิ โรจนสกุล อยู่ในบัญชีรายชื่อลำดับที่ 89 ของพรรคเพื่อไทย เขาเคยมีประสบการณ์การทำงานที่สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง หน่วยงานรัฐซึ่งถือว่าเป็น “คลังสมองของประเทศ” ทำให้เขาได้รับความไว้วางใจในการจัดทำนโยบาย แต่เนื่องจากการทำงานในหน่วยงานรัฐนั้นมีข้อจำกัด จึงตัดสินใจเบนเข็มเข้าสู่เส้นทางการเมือง โดยเขาเคยให้สัมภาษณ์กับ "ฐานเศรษฐกิจ" ไว้ว่า
"...ระบบราชการของไทยยังมีปัญหาอยู่เยอะมาก ด้วยระบบราชการมีหลายลำดับชั้น ทำให้ผลักดันสิ่งที่ต้องการให้เกิดขึ้นได้ยากพอสมควร ล่าช้า และไม่ได้ตอบสนองในสิ่งที่เราอยากให้มันเป็น นโยบายที่เราคิด ทิศทางที่คิดไว้ ขับเคลื่อนได้ช้า"
ในการเลือกตั้งที่ผ่านมา เขาทำหน้าที่สื่อสารกับสังคมในประเด็นต่าง ๆ รวมถึงโครงการ Digital Wallet หรือ นโยบายเงินดิจิทัล 10,000 บาท ที่กำลังจะได้สัมผัสกันในไตรมาสสี่ของปีนี้ "เผ่าภูมิ"เคยชี้แจงนโบายดังกล่าวนี้ว่า "...การกระตุ้นครั้งใหญ่ต้องเกิดขึ้นเพื่อปลุกชีวิตของประเทศขึ้นมา เราปลุกเศรษฐกิจของประเทศขึ้นมาระดับหนึ่งจากที่อยู่ไอซียู และวันนี้เราจะปลุกแรง ปลุกด้วยเงิน 500,000 กว่าล้านบาทที่ไม่ใช่แค่ปลุกให้ฟื้นเฉย ๆ เราปลุกเสร็จ เราจะทำกายภาพบำบัด เราจะพาคนไทยวิ่งเพราะทางพรรคเตรียมโครงการไว้เยอะ.."
ในมุมมองของเผ่าภูมิ นิยามนักการเมืองรุ่นใหม่ ต้องไม่ใช่แค่กล้า แต่ต้องเป็นนักการเมืองที่เก่ง และสามารถแก้ไขปัญหาให้กับประเทศได้ กล้าอย่างเดียวก็ไม่พอ แต่ถ้าเก่ง แต่ไม่พร้อมจะเข้าไปแก้ไข ก็ไม่ได้ “กล้า” กับ “เก่ง” จึงต้องไปคู่กันอย่างกลมกล่อม ต้องสามารถประสานกับผู้ที่มีประสบการณ์ในพรรค โครงสร้างของพรรค อัตลักษณ์และอุดมการณ์ของพรรค
“นักการเมืองรุ่นใหม่สำคัญ แต่ต้องอิงอยู่บนฐานของข้อเท็จจริง และความเป็นไปได้ ไม่ใช่ว่า ฝันอยากไปในทิศทางแบบนี้ แล้วเดินไปแบบนั้นเลย มองว่าเร็วไป และง่ายเกินไป ควรมีการผสมผสาน และให้ค่าซึ่งกันและกัน”
เผ่าภูมิยืนยันว่า พรรคเพื่อไทยคือพรรคเศรษฐกิจ เลือกนโยบายที่มีคนได้ประโยชน์มากที่สุด และมีคนเสียประโยชน์น้อยที่สุด แล้วต้องทำให้ประเทศเดินหน้าได้ในภาพใหญ่ ในทิศทางที่ถูกต้อง ไม่ใช่เพียงแค่เอาใจคนส่วนใหญ่ แต่ประเทศเดินไปในทิศทางที่ไม่ถูกต้อง
การได้นั่งในตำแหน่งที่คิดนโยบายให้กับพรรคเพื่อไทย ดูจะตอบโจทย์เป้าหมาย ที่ไม่ใช่เรื่องของตำแหน่ง ทั้งในวันที่เป็นข้าราชการ หรือ ณ วันนี้ก็ตาม หากแต่คือ การได้นำเอาสิ่งที่ร่ำเรียนมา มาผลักดันให้เกิดขึ้นจริงกับประเทศ
เขามองว่า จุดเริ่มต้นที่จะทำให้เศรษฐกิจของประเทศดีขึ้นกว่านี้ คือกลไกการเข้าสู่อำนาจของรัฐบาล ที่ต้องสะท้อนความต้องการแท้จริงของประชาชน พรรคที่ได้รับเลือก "ต้องทำตามนโยบายที่ประกาศไว้ หน่วยงานที่กำกับดูแล ต้องเข้มแข็งภายใต้มาตรฐานเดียวกัน"
ในฐานะรมช.คลังที่เพิ่งได้รับประกาศโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเมื่อวันที่ 27 เม.ย.ที่ผ่านมา เขาจะเดินหน้าผลักดันนโยบายให้เป็นรูปธรรมได้เร็วขึ้นมากน้อยแค่ไหน จากนั้น จะนำเศรษฐกิจไทยให้ฟื้นตัวและ "วิ่ง" ไปข้างหน้าได้ไกลอย่างที่ตั้งใจไว้หรือไม่ อีกไม่นานคงได้เห็นกัน