วันนี้(28 เม.ย. 67) ที่สมาคมชาวปักษ์ใต้ ในพระบรมราชูปถัมภ์ บิ๊กโจ๊ก-พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) ให้สัมภาษณ์หลังเสร็จงานรดน้ำขอพรผู้สูงอายุ ถึงกรณีมีกระแสข่าวจะลงสมัครสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ว่า มีประชาชนหลายคนอยากให้ตนลงสมัครเป็นผู้แทนประชาชน ซึ่งขอดูรายละเอียดก่อนเพราะช่วงนี้ก็ว่าง และมองว่าเป็นเรื่องที่ดีที่จะได้ทำประโยชน์เพื่อประชาชน เพราะตนยังแข็งแรงอยู่ ยังมีพลัง และมีความคิดสร้างสรรค์ ก็อยากใช้พลังทำงานให้ประชาชน
พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวด้วยว่า เรื่องที่เกิดขึ้นยืนยันว่าไม่เสียกำลังใจ ตนได้กำลังใจจากพี่น้องชาวใต้ 14 จังหวัด ที่ให้กำลังใจ และเมื่อไหร่ที่ถูกรังแกก็ต้องเดินหน้าต่อสู้กับความยุติธรรมให้มากขึ้น เพื่อจะให้เป็นแบบอย่างของพี่น้องชาวใต้ ซึ่งอยากฝากบอกว่าไม่ต้องมารวมตัวกันให้กำลังใจ แต่ให้กำลังใจผ่านช่องทางออนไลน์ก็พอแล้วเพราะตนรับทราบ
พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ยอมรับว่า การที่ให้ตนออกจากราชการไว้ก่อนนั้น มีสิ่งเสียดายอยู่ เพราะยังมีภารกิจอีกหลายเรื่องที่ยังไม่ได้ทำในงานที่รับผิดชอบ ทั้งหนี้นอกระบบ การปราบปรามยาเสพติด หรือ ค้ามนุษย์ งานส่วนนั้นต้องชะงักไป และอยากฝากบอกพี่น้องชาวอีสานที่มาร้องเรียนว่าให้รอตนหน่อย ถ้าได้กลับไปปฏิบัติหน้าที่ก็จะกลับไปทำให้แน่นอน
“ยืนยันว่าผมไม่อยากได้อำนาจ แต่อยากกลับไปเพื่อทำงานให้พี่น้องประชาชน อำนาจที่ได้มาก็จะทำเพื่อประชาชนและแผ่นดิน” พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าว
ส่วนที่ทำไมยังมีประชาชนมาร้องเรียนกับตนเองอยู่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า ประชาชนเห็นที่ไหนให้ความเป็นธรรมก็ไปที่นั่น ตนไม่คิดที่จะใช้ประชาชนเป็นเกราะป้องกัน
สำหรับกรณีคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงชุดของ พล.ต.อ.สราวุฒิ การพานิช รอง ผบ.ตร.ในฐานะประธานกรรมการที่ รรท.ผบ.ตร. ตั้งขึ้นมา ในวันพรุ่งนี้ (29 เมษายน 2567) จะมีการเรียกประชุมเพื่อกำหนดแนวทางในการสอบสวน พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ พร้อมพวก 5 คน เป็นครั้งแรกนั้น พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า ไม่ได้หนักใจ ให้ไปตามหน้าที่ และตนได้ทำหนังสือคัดค้านกรณีคณะกรรมการบางท่านที่เป็นคู่ขัดแย้ง และตนเชื่อมั่นในการทำงานของ พล.ต.อ.สราวุฒิ
ส่วนกรณีที่บอกกับสื่อมวลชนว่าจะไปยื่นฟ้อง พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร รักษาราชการ ผบ.ตร.ที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง กรณีเซ็นคำสั่งให้ออกจากราชการโดยมิชอบนั้น บิ๊กโจ๊ก กล่าวว่า ตอนนี้ตนขอรวบรวมเอกสารก่อน ใช้เวลาประมาณ 2 สัปดาห์
นอกจากนี้ บิ๊กโจ๊ก ยังกล่าวถึงประเด็นที่มีกระแสข่าวคนที่ปลดป้ายชื่อ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ออกจากหน้าห้องทำงาน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นลูกน้องของตนเอง ว่า ลูกน้องไม่ได้ปลดป้ายหน้าห้องทำงาน และชื่อในเว็บไซต์แน่นอน เพราะเมื่อตนทราบคำสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อนเมื่อวันพฤหัสที่ 18 เม.ย. และในวันที่ 19 เม.ย. ตนให้ลูกน้องเข้าไปเก็บของในห้องทำงาน เช่น เอกสารส่วนตัว พระพุทธรูป รวมถึงคืนรถประจำตำแหน่งทันที เพราะตนเป็นคนมีวินัย ทั้งที่จะไม่คืนก็ได้เพราะยังมีสถานะเป็น รอง ผบ.ตร.อยู่
เมื่อถามว่าจะตามหาคนปลดป้ายชื่อหรือไม่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า ส่วนตัวไม่ตามหา ใครทำก็รับไป แต่เราทำไปตามกรอบของกฎหมาย อะไรทำผิดกฎหมายก็ต้องว่าไป วันนี้ทุกคนอาจจะบอกว่าตัวเองทำถูก แต่คนตัดสิน คือ ศาล