การปรับครม.เศรษฐา 1/2 สำหรับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ให้นายไชยา พรหมมา สส.เพื่อไทย เขต2 หนองบัวลำภู พ้นจากตำแหน่ง รมช. เกษตรและสหกรณ์ และได้แต่งตั้ง นายอรรถกร ศิริลัทยากร ดำรงตำแหน่ง รมช.กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในโควตาพรรคพลังประชารัฐรัฐ (พปชร.) จึงทำให้ในขณะนี้กระทรวงเกษตรไม่มีคนของพรรคเพื่อไทยนั่งดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีอยู่ในกระทรวงเลยแม้แต่คนเดียว
รศ.ดร.ธนพร ศรียากูล ผู้อำนวยการสถาบันวิเคราะห์การเมืองและนโยบาย ได้ให้สัมภาษณ์พิเศษกับฐานเศรษฐกิจในประเด็นนี้ไว้ว่า การที่พรรคเพื่อไทยไม่เหลือเก้าอี้รัฐมนตรีกระทรวงเกษตรฯ เท่ากับพรรคเพื่อไทยตัดสินใจทิ้งเกษตรกรแล้ว ถือเป็นความเสียหายทางการเมืองที่ประเมินค่าไม่ได้ เพราะในฐานข้อมูลของสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรปี 2566 ประเทศไทยมีแรงงานภาคเกษตรอยู่ที่ 18-19 ล้านคน ซึ่งมากกว่าคะแนนที่พรรคเพื่อไทยได้รับจากการเลือกตั้งเป็นเท่าตัว
ผลกระทบที่จะตามมาก็คือ สส.เขต หรือผู้สมัครเลือกตั้งในพื้นที่ ไม่สามารถสร้างคะแนนนิยมในกลุ่มเกษตรกรได้ ทำผลงานได้ลำบากขึ้น เพราะเท่ากับว่าต้องพึ่งจมูกรัฐมนตรีพรรคอื่นหายใจ หากในจังหวัดที่มีกลุ่มเกษตรกรเป็นฐานเสียง ย่อมต้องการการแก้ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับการเกษตรโดยตรง เช่น ปัญหาน้ำท่วม น้ำแล้ง แมลงลง โดยไม่สามารถชดเชยด้วยโครงการดิจิทัล วอลเล็ตได้ เพราะภารกิจของกระทรวงเกษตรไม่ใช่การเอาเงิน 10,000 บาทมาฟาดหัว
โครงการแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท เป็นมาตรการแบบพาราเซตามอล แต่สิ่งที่เกษตรกรต้องการคือความยั่งยืนในอาชีพ ซึ่งพรรคเพื่อไทยมีโอกาสที่จะขับเคลื่อนได้ แต่กลับทิ้งโอกาสนั้นไปแล้ว
แม้การทำงานร่วมกับ ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รมว. เกษตรและสหกรณ์ จะต้องเจอความเก๋าแบบที่นายไชยาเจอ แต่เชื่อว่าหากพรรคเพื่อไทยส่งคนรุ่นใหม่ เช่น สส.น้ำ จิราพร สินธุไพร เข้าไปเป็น รมช. ก็จะได้ความสดของคนรุ่นใหม่ เพราะสส.น้ำ มีฐานเอฟซีอีกนับล้านคน เราจึงอาจจะได้เห็นการโต้ตอบทางการเมืองแบบ "สดบดเก๋า" ซึ่งจะเป็นภาพลักษณ์ที่ดีของพรรคเพื่อไทยในทางการเมืองด้วย
และแม้พรรคเพื่อไทยจะมีนายภูมิธรรม เวชยชัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และรองนายกฯ ดูแลกระทรวงเกษตรอยู่ก็ตาม แต่การเป็นรองนายกฯหากจะทำอะไรก็ต้องผ่านรัฐมนตรีว่าการ เพราะเชื่อว่ารองนายกฯคงไม่กล้าสั่งการข้าราชการในกระทรวงโดยไม่ผ่านรัฐมนตรีว่าการ แม้กระทั่งขับรถเข้ากระทรวงในวันที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงไม่อยู่ ในทางปฏิบัติก็คงไม่กล้าทำ ดังนั้นระหว่างการเป็นรัฐมนตรีที่กำกับดูแล กับรัฐมนตรีประจำกระทรวง ย่อมมีความแตกต่างกันอย่างมากจึงเป็นที่น่าเสียดายที่พรรคเพื่อไทยทิ้งโอกาสนี้