ภายหลังมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯคณะรัฐมนตรี (ครม.) เศรษฐาชุดใหม่ เมื่อวันที่ 27 เมษายน2567 ที่ผ่านมา โดยมีรัฐมนตรีพ้นจากความเป็นรัฐมนตรี 10 ตำแหน่ง และแต่งตั้งรัฐมนตรี 12 ตำแหน่งนั้น ขั้นตอนหลังจากนี้ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี จะนำครม.ชุดใหม่ เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนเข้ารับหน้าที่ และเดินหน้านโยบายของรัฐบาลให้เป็นไปตามที่แถลงต่อรัฐสภา
“ฐานเศรษฐกิจ” รวบรวมความเห็นจากหลายภาคส่วน ที่สะท้อนจุดอ่อนจุดแข็งการบริหารราชการ รวมทั้งข้อเสนอในการดำเนินนโยบายด้านเศรษฐกิจของรัฐบาลทั้งที่ผ่านมาและเป้าหมายในอนาคต
ปรับครม.ดันเงินดิจิทัลวอลเล็ต
นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า การปรับครม. ครั้งนี้อยู่ที่วิสัยของนายกรัฐมนตรีว่าเห็นสมควรอย่างไร ถ้าพูดถึง Impact ก็ต้องเฝ้ามองดูอีกที แต่สำหรับคณะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังคนใหม่ (พิชัย ชุณหวชิร) คิดว่าเหมาะสม เพราะเป็นผู้มีประสบการณ์และมีความรู้ทางด้านการเงิน และด้านเศรษฐกิจก็เข้าใจถึงเอกชน คิดว่าจะสามารถมาแบ่งเบาภาระนายกรัฐมนตรีได้ รวมถึงการหามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และมาตรการเยียวยาประชาชนต่าง ๆ
“กระทรวงการคลังถือเป็นกระทรวงที่มีความสำคัญมาก เพราะเป็นกระทรวงที่ดูแลเรื่องเศรษฐกิจของประเทศเป็นหลัก มีคุณพิชัยจะเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ ซึ่งต้องคอยประสานงานกับกระทรวงอื่นด้วย ภาคเอกชนโดยเฉพาะหอการค้าฯเราก็เห็นด้วย”
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า การจัดตั้งคณะรัฐมนตรี หรือ ครม.ชุดใหม่ เป็นการปรับแบบส่วนน้อย (Minor Change) หรือเรียกว่าเป็นการปรับแบบกะทัดรัด เลือกที่จะปรับในส่วนที่เป็นกระทรวงเศรษฐกิจเป็นหลัก เป็นการปรับแต่งเครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจให้พร้อมที่จะเดินต่อโดยเฉพาะการให้ความสำคัญกับกระทรวงการคลัง ที่มีนายพิชัย ชุณหวชิร มาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเต็มตัว หรือทำงานเต็มเวลา และมีนายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการเพิ่มมาอีก 1 ตำแหน่ง ที่จะมาขับเคลื่อนงบประมาณปี 2567 และงบประมาณปี 2568 ซึ่งเป็นเงินจำนวนมหาศาล
เมื่อรวมกับนโยบายเรือธงของรัฐบาลอย่างโครงการเงินดิจิทัลวอลเล็ตที่จะออกในไตรมาส 4 ปี 2567 การกระตุ้นเศรษฐกิจจึงมีความสำคัญ และเป็นจังหวะที่ลงตัวกันอย่างต่อเนื่อง เพราะฉะนั้นที่มีการออกแบบมาจึงเสมือนเพื่อรองรับเรื่องดังกล่าวโดยเฉพาะ
ทั้งนี้ หวังว่ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังคนใหม่ที่เข้ามาทำงานแบบเต็มเวลา และมีประสบการณ์จากบริษัทขนาดใหญ่ ผ่านเหตุการณ์ของการแก้ไขวิกฤติหลายอย่าง หรือเรียกว่ามีความเข้าใจทางด้านเศรษฐกิจเป็นอย่างดี และเมื่อมีรัฐมนตรีช่วยอีก 3 คนก็จะเป็นทีมเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งในการขับเคลื่อนประเทศต่อไป
นอกจากนี้ การที่นายกรัฐมนตรี ขอความร่วมมือสถาบันการเงินในการลดดอกเบี้ย 0.25% ให้กับกลุ่มเปราะบาง และเอสเอ็มอีก่อน 6 เดือน รวมถึงไตรมาส 4 ของปีนี้ จะมีโครงการดิจิทัลวอลเล็ตออกมา จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจสอดรับกันไปอย่างต่อเนื่อง
ตลาดทุนตอบรับ ครม.ใหม่
นายประกิต สิริวัฒนเกตุ กรรมการผู้จัดการด้านกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เมอร์ชั่น พาร์ทเนอร์ จำกัด กล่าวว่า ครม.ชุดใหม่ที่ตั้งมานั้น โดยเฉพาะนายพิชัย ชุณหวชิร มานั่งในตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี ควบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นเรื่องที่ดีต่อเศรษฐกิจและตลาดทุนไทย ทำให้ตลาดทุนไทยดูมีความหวังว่าจากนี้ไปจะมีสิ่งดีใหม่ ๆ เกิดขึ้น จากนี้การเงินและการคลังจะมีความเป็นระเบียบมากขึ้น
นายกิจพณ ไพรไพศาลกิจ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การที่นายพิชัย ชุณหวชิร ขึ้นมานั่งตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังคนใหม่เข้ามารับผิดชอบ ทำให้ตลาดทุนไทยมีมุมมองเชิงบวก เพราะเป็นผู้ที่มีความรู้และความเข้าใจในตลาดทุนไทย มีเวลาในการทำการบ้านมาระยะหนึ่งแล้วทำให้เชื่อว่านายพิชัย รู้การจะขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยจากนี้จะเดินหน้าไปในทิศทางใด อีกทั้ง ที่ผ่านมารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังจะมีความเชี่ยวชาญที่แตกต่างกัน โดยในนายพิชัยที่มีความเชี่ยวชาญในเรื่องของตลาดทุน และมีความเข้าใจนักลงทุน
เอสเอ็มอีจี้แก้เศรษฐกิจฐานราก
นายแสงชัย ธีรกุลวาณิช ประธานสมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย ระบุว่า การปรับ ครม.ครั้งนี้ เน้นไปที่ด้านเศรษฐกิจเป็นหลัก มองว่ารัฐบาลมีความตั้งใจที่จะแก้ไขปัญหาเรื่องเศรษฐกิจ ซึ่งเอสเอ็มอีคาดหวังว่าจะมีนโยบายที่จะทำให้เกิดนวัตกรรมทางการเงิน การคลัง มีการออกแบบมาตรการที่ตอบโจทย์ในการกระตุ้น และแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจจริงให้กับเศรษฐกิจฐานราก และประชาชน โดยมีภารกิจที่ยังรอการแก้ไขและสานต่ออีกหลายเรื่อง อาทิ
1.การแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนซึ่งสูงถึงระดับ 91% ของจีดีพี 2.โครงการดิจิทัลวอลเล็ต ซึ่งเอสเอ็มอีหลายภาคส่วนมองว่าเป็นนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจที่ดี แต่วิธีการหรือที่มาของเงินยังทำให้เกิดความกังวล ที่จะทำให้ประชาชนได้รับผลกระทบในการเป็นหนี้ระยะยาว 3.โครงการดิจิทัลวอลเล็ต ควรจะนำไปพัฒนากำลังคน พัฒนาเรื่องการสร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้ เพื่อให้เกิดรายได้ที่สูงขึ้น
4.มาตรการทบทวนดอกเบี้ย และเงื่อนไขหลักประกันของพิโก้ไฟแนนซ์ โดย รมว.คลังควรไปศึกษาและทบทวนพิโกไฟแนนซ์ควรมีเรื่องความเป็นธรรมของดอกเบี้ย ซึ่งเวลานี้มีเพดานที่ 36% ต่อปี ซึ่งปรากฏว่าเงื่อนไขการมีหลักประกัน กับไม่มีหลักประกันมีความขัดแย้งกันอยู่
5.กระทรวงการคลังต้องหากลไกลในการผลักดันให้ ธปท. กำกับสถาบันการเงินให้มีแนวปฏิบัติ หรือเกณฑ์รองรับในการคำนวณดอกเบี้ย และความเสี่ยงกับลูกค้า เพราะมีผลกับเอสเอ็มอีเรื่องเงินทุนหมุนเวียน สภาพคล่อง
ตั้งคณะทำงานหนุนท่องเที่ยว
นายอดิษฐ์ ชัยรัตนานนท์ เลขาธิการสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (แอตต้า) กล่าวว่า การแก้ไขเศรษฐกิจภายใต้รัฐบาลชุดปัจจุบัน ด้วยการนำการท่องเที่ยวเป็นเครื่องยนต์ในภาคการท่องเที่ยว ยังเชื่อมั่นว่า เป็นทิศทางที่ถูกต้อง และมีประสิทธิภาพมากที่สุดต่อไป
ส่วนข้อกังวลที่มีการเปลี่ยนรัฐมนตรีนั้น จะต้องใช้เวลาในการปรับตัว และ เดินหน้าแก้ไขเพื่อไม่ให้เกิดช่องว่างของการทำงานนั้น มีมากน้อยเพียงใด คณะทำงานร่วมภาคเอกชน ฝ่ายนโยบาย ภาคการท่องเที่ยว จะเป็นกุญแจสำคัญมาช่วย ฝ่ายนโยบายขับเคลื่อนภาคการท่องเที่ยวได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
จึงเสนอว่าควรมีการตั้งคณะทำงานร่วมภาคการท่องเที่ยว ซึ่งมีองค์ประกอบตัวแทน ทั้งองค์กรด้านการท่องเที่ยวภาคเอกชนหลัก ที่เป็นแกนในการขับเคลื่อนภาคการท่องเที่ยว และองค์กรภาครัฐที่เกี่ยวข้อง เพื่อทำหน้าที่ Think tank ของคณะทำงานรัฐมนตรี ท่องเที่ยว ช่วยวางแผน และ ประเมินแนวทางการทำงาน เสนอแนะ ติดตาม และ แลกเปลี่ยนข้อมูลเชิงลึกจากภาคเอกชน ทั้งในและต่างประเทศ
อสังหาฯขานรับทีม ศก.แกร่ง
นายประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต นายกสมาคมอาคารชุดไทย ให้ความเห็นว่า การปรับ ครม.ครั้งนี้ กระทรวงการคลังเป็นการรวมทีมที่แข็งแกร่งที่สุดเท่าที่เคยมีมา ทั้ง 4 คน ทำหน้าที่ผสมผสาน ทั้งคนรุ่นเก่าและคนรุ่นใหม่ ซึ่งจะเป็นเสาหลักทางเศรษฐกิจ ในการแก้ปัญหาอย่างแท้จริง เป็นความหวังของภาคเอกชนที่มีทีมเศรษฐกิจที่เป็นคนรุ่นใหม่เข้ามาเพิ่มเติม ที่จะช่วยขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะยาว หลังจากนายกรัฐมนตรี ออกมาตรการระยะสั้นผ่านภาคอสังหาริมทรัพย์ไปแล้ว
ทั้งนี้ สมาคมอาคารชุดไทย เตรียมจะเสนอกระทรวงการคลังและรัฐบาลให้ยกเลิก LTV (Loan to Value Ratio อัตราส่วนที่ธนาคารสามารถให้สินเชื่อได้ เมื่อเทียบกับราคาบ้านที่ซื้อ) ชั่วคราวออกไปก่อน 2 ปี หลังจากนั้นจึง ใช้ LTV ควบคุมบ้านหลังที่ 3 รวมถึงการขยายต่างชาติถือครองกรรมสิทธิ์ห้องชุดจาก 49% เป็น69% ในโซนที่ต่างชาติต้องการอยู่อาศัย แต่มีเงื่อนไขว่าจำนวนที่เกินจาก 49% จะไม่มีสิทธิ์เรียกร้องใด ๆ และเสนอให้รัฐบาลเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการโอนกรรมสิทธิ์สำหรับต่างชาติ 4% จากปกติ 2% โดยนำส่วนต่างมาเป็นกองทุน สำหรับประชาชนผู้มีรายได้น้อย
นอกจากนี้ ต้องการให้รัฐบาลผลักดันการลงทุนโครงการอสังหา ริมทรัพย์ขนาดใหญ่ เช่น ที่ดินสถานีแม่นํ้าของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) มาพัฒนาโครงการเอ็นเตอร์เทนเมนท์ เซ็นเตอร์ เชื่อมถนนพระราม 4 และเชื่อมบางกะเจ้า แลนด์มาร์คใหม่ระดับโลก รวมถึงลงทุนรถไฟฟ้ารางเดี่ยว (โมโนเรล) เชื่อมต่อไปยังแหลมผักเบี้ย เพื่อต่อไปยังถนนไทยแลนด์ริเวียร่า ของกรมทางหลวงชนบท สร้างเศรษฐกิจหมุนเวียนให้กับพื้นที่ เป็นต้น
จี้สายต่อลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน
นายก้องศักดิ์ คู่พงศกร ประธานหอการค้าจังหวัดภูเก็ต กล่าวว่า สิ่งที่กังวลคือเมื่อมีรัฐบาลชุดใหม่โครงการบางอย่างที่เริ่มทำแล้ว อาจจะมีการรื้อและเปลี่ยนหลักเกณฑ์ทำใหม่ ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญที่ทางภาคเอกชนมองว่าควรมีการสานต่อ โดยเฉพาะ 3 โครงการหลัก ได้แก่ 1.โครงการทางพิเศษกะทู้-ป่าตอง หรืออุโมงค์ป่าตองให้มีความคืบหน้าโดยเร็ว
2.โครงข่ายท่อส่งนํ้าดิบจากเขื่อนรัชชประภา จ.สุราษฎร์ธานี ไปภูเก็ตรองรับการใช้นํ้า 3 จังหวัดท่องเที่ยวหลัก “กระบี่-พังงา-ภูเก็ต” 3. การโครงการก่อสร้างสนามบินนานาชาติอันดามัน หรือสนามบินภูเก็ตแห่งที่ 2 ที่ จ.พังงา
นายวิเชียร เจนตระกูลโรจน์ ประธานหอการค้าจังหวัดกาญจนบุรี และกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศรีฟ้าโฟรเซนฟู้ด จำกัด จ.กาญจนบุรี กล่าวว่า สิ่งที่อยากเสนอให้รัฐบาลช่วยแก้ปัญหาคือ การปรับโครงสร้างใหม่พลังงาน โครงสร้างราคานํ้ามัน รวมถึงโครงสร้างที่เกี่ยวกับสาธารณูปโภค
“ไม่อยากให้ไปโฟกัสเรื่องเงินดิจิทัลวอลเล็ต เพราะประชาชนสนใจเรื่องประเทศชาติมากกว่า เช่น เมื่อไหร่จะลดค่าไฟ ค่านํ้ามัน ซึ่งอยากให้รัฐบาลรีบแก้ไขด้านนี้อเร่งด่วน”
หน้า 1 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 3988 วันที่ 2 – 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2567