เริ่มเห็น “ไทม์ไลน์” ที่ชัดเจนขึ้นมาแล้ว สำหรับคดี “ยุบพรรคก้าวไกล” อันมีต้นตอมาจากการเสนอนโยบายแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112
หลังจาก เมื่อวันที่ 15 พ.ค. 2567 ที่ผ่านมา ศาลรัฐธรรมนูญได้ประชุมปรึกษาคดีที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยเพื่อมีคำสั่งยุบพรรคก้าวไกล
จากกรณีมีหลักฐานอันควรเชื่อว่า พรรคก้าวไกล (ผู้ถูกร้อง) มีพฤติการณ์กระทำการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และเข้าลักษณะกระทำการอันอาจเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข อันเป็นเหตุแห่งการยุบพรรคผู้ถูกร้อง ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 มาตรา 92 วรรคหนึ่ง (1) และ (2)
ข้อเท็จจริงปรากฏตามคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 3/2567 กกต.จึงขอให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคผู้ถูกร้อง เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของบุคคลผู้เป็นคณะกรรมการบริหารพรรค(กก.บห.) ผู้ถูกร้อง และห้ามมิให้ผู้ซึ่งดำรงตำแหน่ง กก.บห. ผู้ถูกร้อง และถูกเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง ไปจดทะเบียนพรรคการเมืองขึ้นใหม่ หรือเป็น กก.บห.พรรคการเมือง หรือ มีส่วนร่วมในการจัดตั้งพรรคการเมืองขึ้นใหม่ภายในกำหนด 10 ปี นับแต่วันที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งยุบพรรค ตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2561 มาตรา 92 วรรคสอง และมาตรา 94 วรรคสอง
ขีดเส้นก้าวไกลยื่นชี้แจง 2 มิ.ย.
พรรคก้าวไกลยื่นคำร้อง ฉบับลงวันที่ 23 เม.ย. 2567 ขอขยายระยะเวลายื่นคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา ครั้งที่สอง ออกไปอีก 30 วัน นับถัดจากวันครบกำหนดขยายระยะเวลาครั้งแรก และศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งอนุญาตให้ขยายระยะเวลายื่นคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาออกไปอีก 15 วัน นับถัดจากวันครบกำหนดขยายระยะเวลาครั้งแรก
ต่อมา พรรคก้าวไกล ยื่นคำร้อง ฉบับลงวันที่ 13 พ.ค. 2567 ขอขยายระยะเวลายื่นคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา ครั้งที่สาม เป็นครั้งสุดท้าย ออกไปอีก 15 วัน นับถัดจากวันครบกำหนดขยายระยะเวลาครั้งที่สองแล้ว
ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาคำร้องขอขยายระยะเวลาเป็นครั้งสุดท้าย เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม จึงมีคำสั่งอนุญาตให้ขยายระยะเวลาตามขอ ซึ่งจะครบกำหนดยื่นคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาต่อ ศาลรัฐธรรมนูญ ในวันที่ 2 มิ.ย. 2567
ส.ค.ชี้ชะตายุบก้าวไกล
ก่อนหน้านี้พรรคก้าวไกลขอขยายเวลาครั้งแรก เมื่อวันที่ 17 เม.ย. โดยศาลอนุญาตครบกำหนดวันที่ 3 พ.ค. ต่อมาพรรคก้าวไกลขอยื่นขยายเวลาครั้งที่สอง เมื่อ 3 พ.ค. ศาลอนุญาตให้ถึงวันที่ 18 พ.ค. 2567
การอนุญาตขยายเวลาของศาลรัฐธรรมนูญครั้งนี้ ทำให้พรรคก้าวไกล มีเวลาทำข้อมูลเพื่อต่อสู้คดียุบพรรค รวม 60 วัน
ทั้งนี้ เมื่อถึงวันที่ 2 มิ.ย. และ พรรคก้าวไกลยื่นคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาแล้ว หลังจากนั้นศาลรัฐธรรมนูญจะพิจารณาคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา หากยังมีข้อสงสัยอยู่ อาจให้พยานที่แต่ละฝ่ายยื่นเข้ามา มาเบิกความแก่ศาลรัฐธรรมนูญได้ และเมื่อศาลพิจารณาคำเบิกความพยานเอกสาร พยานบุคคลเสร็จแล้ว จึงกำหนดนัดวันฟังคำวินิจฉัย
สำหรับความเป็นไปได้ในผลคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญนั้น มี 2 แนวทางคือ
1.ไม่ยุบพรรคก้าวไกล เนื่องจากพยานหลักฐานไม่เพียงพอ หรือไม่สามารถบ่งชี้ได้ว่ามีพฤติการณ์ตามที่กล่าวหาจริง
2.ยุบพรรคก้าวไกล เนื่องจากปรากฏพยานหลักฐานบ่งชี้ หรือเชื่อได้ว่ามีพฤติการณ์ตามที่ถูกกล่าวหา พร้อมกับตัดสิทธิทางการเมืองกรรมการบริหารพรรค 10 ปี
ทั้งนี้ คาดว่า “คดียุบพรรคก้าวไกล” ศาลรัฐธรรมนูญน่าจะนัดฟังคำวินิจฉัยได้ภายในเดือน ส.ค. 2567 นี้
+++
เปิดแนวทาง“ก้าวไกล”สู้ยุบพรรค
นายชัยธวัช ตุลาธน ส.ส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคก้าวไกล เปิดเผยถึงแนวทางต่อสู้คดียุบพรรคว่า เมื่อศาลรัฐธรรมนูญอนุญาตขยายเวลาแบบนี้ เราจะมีเวลาทำคำชี้แจงครั้งสุดท้ายให้สมบูรณ์ที่สุดเพิ่มอีก
ส่วนเรื่องพยานบุคคลเมื่อศาลขยายเวลาให้เพิ่ม พรรคก็อาจมีการเปลี่ยนแปลงได้อีก แต่การเลือกใครไปเป็นพยาน ไม่ได้อยู่ในอำนาจของผู้ถูกร้อง แต่อยู่ที่ศาล ที่ผ่านมาศาลจะเรียกเฉพาะพยานที่ศาลคิดว่าจำเป็นเท่านั้น
เมื่อถามว่ายังมั่นใจเหมือนเดิมหรือไม่ว่า น้ำหนักคดีนี้ไม่ถึงยุบพรรค หัวหน้าพรรคก้าวไกล ตอบเพียงว่า เหตุผลในการต่อสู้คดีมีหลายประเด็น ทั้งเรื่องข้อเท็จจริง ที่ไม่เพียงพอที่จะกล่าวหาว่า เรากระทำการล้มล้างการปกครองถึงขั้นที่จะต้องวินิจฉัยให้ยุบพรรค เป็นแค่ประเด็นหนึ่งเท่านั้น
แต่จะมีอีกหลายประเด็นพรรคก้าวไกล จะแถลงต่อสาธารณะอย่างเป็นทางการในข้อต่อสู้ของพรรค หลังจากที่มีการยื่นคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา ต่อศาลรัฐธรรมนูญ ไปแล้วในช่วงต้นเดือน มิ.ย.
ทั้งนี้มีรายงานว่า แนวทางการสู้คดียุบพรรคก้าวไกล จะเน้นเรื่อง
1.กระทำโดยไม่เจตนา
2. ได้ส่งนโยบายแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ให้ กกต. ก่อนการรณรงค์หาเสียงแล้ว แต่ กกต.ไม่คัดค้าน
3.หลังมีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญออกมาที่ให้ยุติการกระทำ ทางพรรคก้าวไกล ก็ได้ถอดนโยบายแก้ ม. 112 ออกจากเว็บไซต์แล้ว
และ 4.พรรคก้าวไกลได้ปฏิบัติตามคำสั่งของศาลรัฐธรรมนูญ ตามคำวินิจฉัยแล้ว