หลังการเลือกสมาชิกวุฒิสภา(สว.) และการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดปทุมธานี (อบจ.ปทุมธานี)ได้ผ่านพ้นไป สถานการณ์ถือว่าต้องจับตาดูอีกครั้ง เพราะตัวเต็งประธาน สว. อย่างนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ กลับไม่สามารถผ่านเข้ารอบไปเป็นสว.ได้ ส่วนสนามท้องถิ่นอย่าง อบจ.ปทุมธานี แม้ผู้คว้าชัยจะเป็นสังกัดพรรคเพื่อไทย แต่ทางกลับไม่สะดวกเพราะอาจต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่
รายการ “เข้าเรื่อง” เผยแพร่ทางช่องยูทูปฐานเศรษฐกิจ เช็กหน้ากระดานการเมืองอีกครั้งกับ รศ.ดร.ธนพร ศรียากูล ผู้อำนวยการสถาบันวิเคราะห์การเมืองและนโยบาย หลังจากผลเลือก สว.ผิดไปจากที่เคยวิเคราะห์ไว้ก่อนหน้านั้น
อ.ธนพร กล่าวถึงการเลือกตั้งสว.ว่าสะท้อนประสิทธิภาพการบริหารจัดการของค่ายนายใหญ่ หรือนายทักษิณ ชินวัตร แพ้นายเนวิน ชิดชอบ จึงทำให้นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ไม่สามารถผ่านเข้ามาเป็น สว.ได้ ซึ่งสว.สีน้ำเงินจะเป็นจุดเปลี่ยนทางการเมือง ชัยชนะในการเลือกตั้งสว.ทำให้การเมืองบ้านใหญ่ต้องหันมองว่าขณะนี้การฝากอนาคตไว้กับสีแดงอาจไม่แน่นอน เพราะสีน้ำเงินมาแรงกว่า
วันนี้ยังถึงขั้นเกิดระบอบทักษิณแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาดเหมือน 20ปีที่แล้ว แต่ไม่ใช่ว่าการบริหารจัดการแบบระบอบทักษิณจะไม่มี เพราะทั้งสีน้ำเงินและนายใหญ่มีภารกิจเดียวกันคือการสกัดไม่ให้สีส้มได้เป็นรัฐบาล แต่เป้าหมายของฝ่ายสีน้ำเงินคือการขึ้นมาเป็นพรรคแกนนำในปีกอนุรักษ์นิยมแทนพรรคเพื่อไทยให้ได้ พรรคภูมิใจไทยได้ถูกเลือกแล้วว่าจะให้ขึ้นมาแทนพรรคเพื่อไทย
เมื่อสีน้ำเงินครองสภาสูง (วุฒิสภา) นายใหญ่จะทำอะไรกับพรรคภูมิใจไทยในฐานะพรรคร่วมรัฐบาล หากไม่ถนอมน้ำใจกัน ต่อไปหากสว.ชุดใหม่ตั้งองค์กรอิสระขึ้นมาอาจทำให้รัฐมนตรีลูกน้องนายใหญ่มีอันเป็นไปกันทุกคน เพราะในปีนี้จะมีคณะกรรมการในองค์กรอิสระครบวาระถึง 12ตำแหน่ง เฉพาะในคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ก็มีจำนวนถึง 6ตำแหน่ง ซึ่งต้องจับตาดูว่า ป.ป.ช.สีน้ำเงินจะมีฤทธิ์เดชมากแค่ไหน
เรื่องการรับรองผลการเลือก สว.คาดว่าจะเกิดขึ้นภายในวันที่ โดยจะไม่เกิดเหตุการณ์เลือกเป็นโมฆะแต่อย่างใด แม้จะมีข้อสังเกตในผลคะแนนก็ตามเพราะไม่สามารถหาหลักฐานของการกระทำผิดได้ เพราะกฎกติกาในการเลือกสว.ครั้งนี้ ไม่ได้มีข้อห้ามเรื่องการจัดตั้ง เพียงแต่ห้ามมีการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ตอบแทนซึ่งกันและกัน เช่นการให้เงิน หรือตำแหน่งใดๆแก่กัน การร้องเรียงเรื่องฮั้วเลือกสว.นั้นมีเพียงร่องรอย แต่ไม่สามารถพิสูจน์เรื่องให้ประโยชน์ตอบแทนซึ่งกันและกันได้
แต่อย่างไรก็ตาม อ.ธนพรยังยืนยันว่าการเมืองภาพใหญ่ใน 4ปีนี้ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีจะดำรงตำแหน่งจนครบวาระ ส่วนการเลือกตั้งในปี 2570 อาจได้เห็นพรรคภูมิใจไทยขึ้นมาเป็นแกนนำในปีกอนุรักษ์นิยมแทนพรรคเพื่อไทย ส่วนพรรคก้าวไกลยังไม่สามารถขึ้นมาเป็นรัฐบาลได้ แม้จะได้เสียงเกิน 250 ก็ตาม เพราะอาจถูกยุบพรรคได้อีก เพราะการมีสว.สีส้มเพียง 28ท่าน ไม่มากพอที่จะหยุดยั้ง “นิติปฏิวัติ”ได้
“นิติปฏิวัติ” คือกระบวนการยึดอำนาจโดยไม่ต้องใช้รถถังออกมายึดอำนาจแบบเดิม เพียงแค่ใช้กฎหมายที่เป็นประโยชน์ต่อการดำรงอยู่ของโครงสร้างอำนาจเดิมอย่างเต็มที่ ซึ่งยังทำให้ประเทศชาติดูดีในสายตาชาวโลกว่าประเทศไทยไม่มีการรัฐประหาร ยังสามารถเคลมได้ว่าประเทศมีความเป็นประชาธิปไตย
สำหรับการเมืองท้องถิ่นนั้น สนามการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดปทุมธานี (อบจ.ปทุมธานี)หากพรรคเพื่อไทย และนายใหญ่ไม่สามารถคว้าชัยชนะไว้ได้ จะส่งผลให้การเมืองบ้านใหญ่ย้ายไปซบสีน้ำเงินกันหมดจากผลการเลือก สว. ดังนั้นพรรคเพื่อไทยและนายใหญ่ หรือนายทักษิณ จะแพ้ไม่ได้
แต่เนื่องด้วยนายชาญ พวงเพ็ชร ที่ชนะการเลือกตั้ง อบจ.ปทุมธานี แต่มีคดีค้างอยู่ใน คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และศาลสั่งหยุดปฎิบัติหน้าที่ ดังนั้นจึงไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้จนกว่าศาลจะมีคำพิพากษา ดังนั้นเมื่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (ก.ก.ต.)ประกาศรับรองแล้วนายชาญต้องลาออก เพราะไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ เพื่อเปิดทางให้เกิดการเลือกตั้งกันใหม่
ซึ่งพรรคเพื่อไทยรู้มาก่อนล่วงหน้าว่ามีปัญหาเรื่องนี้ ดังนั้นการเลือกคนของพรรคเพื่อไทยถือว่ามีปัญหา เพราะนำคนที่มีปัญหามาให้ประชาชนเลือก เรื่องนี้ทั้งนายใหญ่ หรือนายทักษิณ และนายน้อย หรือ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร จะปฏิเสธความรับผิดชอบไปไม่ได้ ฉะนั้นพรรคเพื่อไทยต้องขอโทษชาวปทุมธานี ดังนั้นทั้งหัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรคทุกคนต้องแสดงความรับผิดชอบด้วยการลาออก แต่หากไม่ทำตามนี้ชื่อเสียงของพรรคเพื่อไทยจะพินาศป่นปี้