"มาดามเดียร์" ไม่เห็นด้วย ปชป.จับมือ เพื่อไทย หวังให้เคารพ 9 แสนเสียง

น.ส.วทันยา บุนนาค สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ เปิดใจหลังพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) มติเอกฉันท์เข้าร่วมรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทย(พท.) โดยน.ส.วทันยา แสดงถึงความไม่เห็นด้วยกับมติพรรคในครั้งนี้ที่เข้าร่วมรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทย แต่ไม่ใช่สาเหตุจากการที่ ปชป.เป็นคู่ขัดแย้งกับ พท. แต่มีสาเหตุมาจากการที่ ปชป. ต้องเคารพในเจตจำนงของประชาชนที่เลือก ปชป.มา

การที่ ปชป.เหลือจำนวน สส.เพียง 25ที่นั่งในการเลือกตั้งที่ผ่านมา สะท้อนว่าประชาชนส่วนใหญ่ไม่ได้ให้ความไว้วางใจแก่พรรคในการจะเข้าไปเป็นตัวแทนในการทำหน้าที่ แต่ก็ยังมีประชาชนอีกกว่า 900,000 เสียง ที่ยังให้ความเชื่อใจ ไว้วางใจ และให้โอกาส ปชป. เสียงเหล่านี้ต่อสู้ร่วมอุดมการณ์กับพรรคมาอย่างยาวนาน ซึ่งหนึ่งในนั้นคือการต่อสู้ระหว่าง ปชป. และ พท. ร่วม 2 ทศวรรษที่ผ่านมา 

พรรคประชาธิปัตย์จึงควรต้องทำหน้าที่ฝ่ายค้าน เพื่อตรวจสอบรัฐบาลอย่างเข้มข้น แต่เมื่อวันนี้ ปชป.ละทิ้งอุดมการณ์ไปร่วมรัฐบาลกับ พท. เชื่อว่าประชาชนกว่า 900,000 เสียงย่อมไม่พอใจ และจะสะท้อนผ่านการเลือกตั้งครั้งต่อไป ที่ ปชป. อาจได้รับเสียงจากประชาชนน้อยลง และมีจำนวน สส.น้อยกว่า 25 เสียงในอนาคต 

สถานการณ์ปชป. ตอนนี้เกิดจากคณะผู้บริหารชุดปัจจุบันละทิ้งอุดมการณ์ เพื่อเข้าไปสู่ประโยชน์และอำนาจของตนเองใช่หรือไม่ ซึ่งไม่ใช่เพื่อการก้าวข้ามความขัดแย้งดังที่กล่าวอ้าง และเชื่อว่าประชาชนเรเห็นว่าการก้าวข้ามความขัดแย้งได้เกิดขึ้นจริง หรือเป็นเพียงวาทะกรรมที่ใช้แอบอ้าง เพื่อผลประโยชน์และอำนาจของตนเอง แต่อย่างไรก็แล้วแต่เป็นหน้าที่ของ สส. และสมาชิกพรรคที่ต้องทำงานต่อไปเพื่อพิสูจน์ตนเองในอนาคต 

น.ส.วทันยา ยอมรับว่าตนคิดหนักถึงการตัดสินใจอยู่ต่อกับ ปชป.ต่อไปหรือไม่ แต่เมื่อในวันนี้ยังมีเพื่อนสมาชิกพรรคอีกเป็นจำนวนมากที่ไม่ได้เห็นด้วยกับแนวทางของกรรมการบริหารพรรคชุดปัจจุบัน ดังนั้นตนจึงตัดสินใจทำงานอยู่กับพรรคต่อไป เพื่อรอวันหนึ่งในการฟื้นฟูศรัทธาจากประชาชนตามแนวอุดมการณ์พรรค ภายใต้การนำของคณะผู้บริหารพรรคชุดถัดไป

การจะฟื้นความศรัทธาขอประชาชน เพื่อโอกาสในการกลับไปเป็นรัฐบาลได้อีกครั้งนั้น น.ส.วทันยากล่าวว่า ไม่จำเป็นต้องเลือกข้างระหว่าง พรรคประชาชน (ปชน.) หรือ พรรคเพื่อไทย เพราะเพียงแค่ยึดมั่นในอุดมการณ์ 10ข้อ ที่คณะผู้ก่อตั้งพรรคได้เขียนไว้เมื่อ 78ปีที่แล้ว ที่ยังคงทันสมัยอยู่จนถึงปัจจุบัน เช่นการเป็นพรรคที่ยึดมั่นในระบอบเสรีนิยมประชาธิปไตย ,การยึดมั่นเรื่องการกระจายทรัพยากรอย่างทั่วถึง ไม่ให้เกิดการผูกขาด อันจะนำมาสู่ความเหลื่อมล้ำ เป็นต้น 

ดังนั้นหลักการของพรรคการเมือง จึงต้องยึดมั่นในแนวทางและอุดมการณ์ของพรรคเพื่อเป็นตัวเลือกให้กับประชาชน ซึ่งหากในวันใดที่ประชาชนศรัทธาในแนวทาง อุดมการณ์เดียวกันกับพรรค และเชื่อมั่นในพรรคการเมือง วันนั้นประชาชนก็จะมอบเสียงเพิ่มมากขึ้นให้กับพรรคการเมืองนั้นๆเอง ต่อจากนี้นักการเมือง

และพรรคการเมือง ควรต้องทำการเมืองกับประชาชนอย่างตรงไปตรงมา ไม่มีการดีลลับเพื่อแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ต่อกัน การทำการเมืองอย่างซับซ้อนมากขึ้นเท่าไหร่ ยิ่งเท่ากับว่าไม่ซื่อตรงกับประชาชนมากขึ้นเท่านั้น