กรณี นายธีรยุทธ สุวรรณเกษร ทนายความอิสระ ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อขอให้วินิจฉัยสั่งให้ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และ พรรคเพื่อไทย เลิกการกระทำที่เป็นการใช้สิทธิและเสรีภาพนำไปสู่การล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 นั้น
วันนี้(11 ต.ค. 67) นายชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ทีมกฎหมายพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า การยื่นคำร้องมาตรา 49 ของรัฐธรรมนูญ เรื่องการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เป็นการบัญญัติเทียบความผิดประเภทนี้เท่ากับกบฏ จึงเขียนจดหมายนี้ร้องขอให้เลิกการกระทำ
เพราะฉะนั้นโดยรวมจะเห็น 6 ประเด็น ที่นายธีรยุทธ ยื่นร้อง มันไกลกว่าเหตุที่จะเป็นการล้มล้างการปกครอง ซึ่งคำคำนี้มีคำซ้อนอยู่สองคำ คำแรกคือ ล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตย และบวกด้วยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
“เขาพยายามที่จะบรรยายให้เข้าเกณฑ์คำวินิจฉัยของพรรคก้าวไกลว่าเป็นการเซาะกร่อนบ่อนทำลาย ซึ่งผมคิดว่ามันไกลกว่าเหตุมาก ตัวอย่างเช่นการบรรยายคำร้อง ว่าการแก้กฎหมาย การเอานโยบายไปใช้ การไปอยู่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ เพื่อเป็นการเซาะกร่อนบ่อนทำลาย เป็นการบรรยายเกินกว่าเหตุ มันไม่มีมูลอะไร”
นายชูศักดิ์ กล่าวด้วยว่า ทั้งพรรคเพื่อไทย และ นายทักษิณ เรื่องของสถาบันเราคิดว่าเรายืนเรื่องนี้แน่นมาตลอด โดยเฉพาะ นายทักษิณถือว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญมาก ซึ่งในปี พ.ศ. 2550 ที่มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ นายทักษิณ อยู่ต่างประเทศ ได้แนะนำผ่านทางคณะทำงานของท่าน ว่าหากจะแก้รัฐธรรมนูญ หมวด 1 หมวด 2 อย่าแตะ นี่เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุด
“จดมาถึงรัฐบาลนี้ นโยบายชัดเจนว่า เราแก้รัฐธรรมนูญ เราไม่แตะหมวด 1 หมวด 2 เรายึดมั่นในจุดนี้ และแน่นอนที่สุดว่า พรรคเพื่อไทยไม่มีเรื่องที่จะไปเซาะกร่อนบ่อนทำลายระบอบประชาธิปไตย”
อีกทั้งเมื่อตนดูในรายละเอียดคำร้อง ที่ระบุพรรคเพื่อไทยไปร่วมมือกับฝ่ายค้านในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ คำถามคือ การร่วมมือกันในการทำกฏหมายผิดอะไร เป็นการเซาะกร่อนบ่อนทำลายอะไร และกฎหมายที่แก้ก็ เป็นเรื่องการแก้เรื่องจริยธรรม เพื่อให้มีความชัดเจนขึ้น เป็นผลดีกับประชาธิปไตย ไม่ใช่ยกเลิก
“ผมไม่เห็นว่าไปเอื้อกับ นายทักษิณ ตรงไหน โดยรวมมันเกินกว่าเหตุ พยายามบรรยายให้เข้าองค์ประกอบ ให้เหมือนกับคำวินิจฉัยครั้งที่แล้ว ผมมองว่าคนละเรื่องคนละราวกัน” นายชูศักดิ์ ย้ำ
เมื่อถามว่าไม่กังวลกับคำร้องใช่หรือไม่ นายชูศักดิ์ กล่าวว่า โดยรวมคิดว่าไม่ได้วิตกกังวลอะไร เพราะเรายึดมั่นมาแบบนี้ตลอด ซึ่งการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
ส่วนจะต้องตั้งคณะทำงานเพื่อไปชี้แจงต่อศาลรัฐธรรมนูญหรือไม่ นายชูศักดิ์ กล่าวว่า ต้องดูก่อนว่าศาลจะรับคำร้องหรือไม่ หากรับเราก็ยินดีชี้แจง และก็มีคณะทำงานอยู่แล้ว เพราะเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับพรรคเพื่อไทย
เมื่อถามว่านายชูศักดิ์ จะเป็นหัวหน้าคณะทำงานเองใช่หรือไม่ หากศาลรับคำร้อง นายชูศักดิ์ กล่าวว่า ก็คงหนีไม่พ้น หากศาลท่านรับ แต่ก็ต้องเรียนย้ำว่าเราไม่ได้มีพฤติกรรมเช่นนั้น เรื่องครอบงำ ตัวอย่างก็มีชัดเจน หลังจากกรณีที่ นายเศรษฐา ทวิสิน พ้นตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ก็มีการประชุมกันของพรรคร่วมรัฐบาล และมีกระแสข่าวว่าจะเสนอชื่ออีกคนหนึ่ง แต่ท้ายที่สุดพรรคเพื่อไทยประชุมเราเอาอีกคนหนึ่ง เปลี่ยนมาเป็นนายกฯ แพทองธาร ชินวัตร แสดงให้เห็นว่า เราเป็นตัวของตัวเอง
“เรามีอำนาจมีวิจารณญาณในการตัดสินใจ ในแง่ของการตัดสินของเรา นี่ก็เป็นตัวอย่างที่ชัดเจน ว่าเราเป็นพรรคการเมือง เรามีกรรมการบริหาร ส่วนใครจะให้คำปรึกษา ผมว่ามันเป็นธรรมชาติของทุกสังคมที่เราต้องรับฟัง หากเป็นเรื่องดีก็นำมาใช้”
เมื่อถามว่าต่อไปเรื่องนี้จะมีนัยยะอะไรหรือไม่ เพราะนายไพบูลย์ นิติตะวัน เลขาธิการพรรคพลังประชาชน ระบุเป็นจุดเริ่มต้นของการล่มสลายของพรรคการเมืองใหญ่ นายชูศักดิ์ กล่าวว่า ก็ไม่อยากคิดไปไกลขนาดนั้น คิดเพียงว่าศาลจะรับเรื่องหรือไม่ หากรับก็ชี้แจง
เมื่อถามว่ามองว่าเรื่องนี้มีเบื้องหลังหรือไม่ นายชูศักดิ์ ตอบว่า “ไม่รู้ เบื้องหลังก็อยู่ที่ความขัดแย้ง เพราะในคำร้องข้อหนึ่งมีเขียนว่า นายทักษิณ อยู่เบื้องหลังในการเอาพรรคพลังประชารัฐ ออกจากการเป็นพรรคร่วมรัฐบาล มันก็เป็นการเมือง มีเบื้องหลังอยู่แล้ว”
เมื่อถามต่อว่าพรรคพลังประชารัฐ อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้หรือไม่ นายชูศักดิ์ กล่าวว่า “ก็ดูจากคำร้องสิ” ก่อนที่จะยิ้มและหัวเราะเบาๆ พร้อมกล่าวต่อว่า “ดูจากคำร้องก็จะเห็น”