เจาะกฎหมายใหม่ คุมเข้ม "สมาคม-มูลนิธิ" รับเงินบริจาคต่างประเทศต้องรายงาน

30 ต.ค. 2567 | 22:45 น.

ส่องรายละเอียด กฎหมายใหม่ ร่างพระราชบัญญัติสมาคมและมูลนิธิ พ.ศ. ...” กรมการปกครอง ลุยคุมเข้ม "สมาคม-มูลนิธิ" รับเงินอุดหนุน-บริจาคจากต่างประเทศ ต้องรายงาน – ห้ามกรรมการห้ามมีตำหนิ เป็นภัยต่อเศรษฐกิจ ความมั่นคง หรือเป็นปรปักษ์กับการปกครองฯ

ฐานเศรษฐกิจ เกาะติดกรณีที่ กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย เปิดรับฟังความคิดเห็นต่อ “ร่างพระราชบัญญัติสมาคมและมูลนิธิ พ.ศ. ...”  เพื่อปรับปรุงกฎหมายให้ทันสมัยและเข้มงวดมากขึ้น 

หลักการสำคัญของร่างกฎหมายใหม่ฉบับนี้ คือ การยกระดับการกำกับดูแลสมาคมและมูลนิธิ โดยมีการเพิ่มความเข้มงวดในการจัดตั้งสมาคมและมูลนิธิ การตรวจสอบที่มาของทุน การเพิ่มวงรอบในการตรวจสอบ และการกำหนดบทลงโทษสำหรับผู้นำสมาคมหรือมูลนิธิที่กระทำผิด เพื่อป้องกันไม่ให้สมาคมหรือมูลนิธิถูกใช้เป็นเครื่องมือในการกระทำผิดกฎหมาย

แก้ไขนิยามสมาคม-มูลนิธิ


“สมาคม” หมายความว่า องค์กรที่บุคคล หรือคณะบุคคลได้รวมตัวกันจัดตั้งขึ้นเพื่อกระทำการใด ๆ อันมีลักษณะต่อเนื่องร่วมกันและมิใช่เป็นการหาผลกำไรหรือรายได้มาแบ่งปันกัน เว้นแต่เพื่อดำเนินการตามวัตถุประสงค์ของสมาคม และจดทะเบียนตามบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัตินี้

“มูลนิธิ” หมายความว่า ทรัพย์สินที่จัดสรรไว้โดยเฉพาะสำหรับวัตถุประสงค์เพื่อการกุศล สาธารณะ การศาสนา ศิลปะ วิทยาศาสตร์ วรรณคดี การศึกษา หรือเพื่อสาธารณประโยชน์อย่างอื่น โดยมิได้มุ่งหาผลประโยชน์มาแบ่งปันกัน ซึ่งต้องมิใช่เป็นการหาผลประโยชน์เพื่อบุคคลใดนอกจากเพื่อดำเนินการตามวัตถุประสงค์ของมูลนิธินั้นเอง และจดทะเบียนตามบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัตินี้

การจัดการทรัพย์สินของมูลนิธิ ต้องมิใช่เป็นการหาผลประโยชน์เพื่อบุคคลใดนอกจากเพื่อดำเนินการตามวัตถุประสงค์ของมูลนิธินั้นเอง

รับเงินอุดหนุน-บริจาคจากต่างประเทศต้องรายงาน

หมวด 1 บททั่วไป มาตรา 8 ระบุว่า สมาคมหรือมูลนิธิอาจมีรายได้ เช่น รายได้จากการบริจาค รายได้จากการจัดงานการกุศล รายได้จากการเรี่ยไร หรือรายได้ในลักษณะอื่น เพื่อดำเนินกิจการของสมาคมได้ แต่จะนำรายได้มาแบ่งปันกันมิได้
กรณีได้รับเงินอุดหนุนหรือเงินบริจาคจากองค์กร หน่วยงาน หรือเอกชนต่างประเทศเกินจำนวนที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด จะต้องรายงานต่อนายทะเบียนภายในสิบห้าวันนับแต่วันได้รับเงินอุดหนุนหรือเงินบริจาคนั้น

 

คุมเข้มสมาคมต้องไม่ขัดกฎหมาย-ศีลธรรม-เป็นภัยความสงบสุข
 

หมวด 3 สมาคม ส่วนที่ 1 การจัดตั้งสมาคม ในมาตรา 12 ระบุถึงรายละเอียดการขอจดทะเบียนสมาคม มาตรา 13 กำหนดข้อบังคับของสมาคมต้องมีรายการตามที่กำหนดในกฎกระทรวง

โดยมีมาตรา 14 ระบุว่า เมื่อนายทะเบียนเห็นว่าคำขอและข้อบังคับถูกต้อง และวัตถุประสงค์ “ไม่ขัดต่อกฎหมายหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือไม่เป็นภยันตรายต่อความสงบสุขของประชาชนหรือความมั่นคงของรัฐ” และรายการซึ่งจดแจ้งในคำขอหรือข้อบังคับสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ และผู้จะเป็นกรรมการนั้นมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 17 ตลอดจนมีฐานะและความประพฤติเหมาะสมในการดำเนินการตามวัตถุประสงค์ของสมาคม ให้นายทะเบียนรับจดทะเบียนและออกใบสำคัญแสดงการจดทะเบียนให้แก่สมาคมนั้น และประกาศการจัดตั้งในราชกิจจานุเบกษา

ในขณะที่ หมวด 4 มูลนิธิ ส่วนที่ 1 การจัดตั้งมูลนิธิ มาตรา 32 เป็นเรื่องการขอจดทะเบียนมูลนิธิ มาตรา 33 ให้กำหนด ข้อบังคับของมูลนิธิอย่างน้อยต้องมีรายการตามที่กำหนดในกฎกระทรวง โดยมีจุดที่น่าสนใจคือ 

  • (4) ทรัพย์สินของมูลนิธิขณะจัดตั้ง โดยต้องแสดงแหล่งที่มาของทรัพย์สินที่ชอบด้วยกฎหมายด้วย ทั้งนี้ ตามที่กำหนดในกฎกระทรวง
  • (6) ข้อกำหนดเกี่ยวกับการจัดการมูลนิธิ การจัดการทรัพย์สินและบัญชีของมูลนิธิ

มาตรา 34 เมื่อนายทะเบียนเห็นว่าคำขอและข้อบังคับถูกต้อง และวัตถุประสงค์ ไม่ขัดต่อกฎหมายหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือไม่เป็นภยันตรายต่อความสงบสุขของประชาชนหรือความมั่นคงของรัฐ และรายการซึ่งจดแจ้งในคำขอหรือข้อบังคับสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ และผู้จะเป็นกรรมการนั้นมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 17 ตลอดจนมีฐานะและความประพฤติเหมาะสมในการดำเนินการตามวัตถุประสงค์ของสมาคม ให้นายทะเบียนรับจดทะเบียนและออกใบสำคัญแสดงการจดทะเบียนให้แก่มูลนิธินั้น และประกาศการจัดตั้งในราชกิจจานุเบกษา


คุณสมบัติกรรมการสมาคม-และมูลนิธิ

มาตรา 17 ผู้จะเป็นกรรมการของสมาคม/มูลนิธิต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามดังต่อไปนี้

(1) อายุ 20 ปีบริบูรณ์ นับถึงวันที่ยื่นคำขอ

(2) มีภูมิลำเนาและถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักรไทย

(3) ไม่เป็นคนวิกลจริตหรือจิตฟั่นเฟือนไม่สมประกอบ หรือคนไร้ความสามารถ

(4) ไม่เป็นผู้เคยได้รับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก เว้นแต่พ้นโทษมาแล้วไม่น้อยกว่า 5 ปี หรือเป็นโทษสำหรับความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ

(5) ไม่เป็นผู้มีพฤติกรรมเสื่อมเสียหรือไม่เหมาะสมที่ขัดหรือแย้งกับวัตถุประสงค์ของสมาคม หรือมีเหตุอันควรสงสัยว่าอาจเป็นภัยต่อเศรษฐกิจ ความมั่นคงของประเทศ หรือต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือเป็นปรปักษ์กับการปกครองในระบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

(6) ไม่เคยถูกนายทะเบียนสั่งให้พ้นจากตำแหน่งกรรมการสมาคมตามมาตรา 25 เว้นแต่จะพ้นกำหนด 5 ปีนับแต่วันที่ถูกสั่งให้พ้นจากตำแหน่ง

 

บทเฉพาะกาล

มาตรา 64 ใบอนุญาตจัดตั้งสมาคมและมูลนิธิตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ให้ถือว่าเป็นใบสำคัญจดทะเบียนตามพระราชบัญญัตินี้ และให้ใช้ได้จนกว่าจะเลิกหรือถูกเพิกถอนสมาคมหรือมูลนิธิ

คำขออนุญาตจัดตั้งสมาคมและมูลนิธิที่ได้ยื่นไว้ก่อนวันที่พระราชบัญญัติฉบับนี้ใช้บังคับ และยังอยู่ในระหว่างการพิจารณาของพนักงานเจ้าหน้าที่ หรือคำอุทธรณ์คำสั่งไม่รับจดทะเบียนที่ได้ยื่นไว้และยังไม่ได้การพิจารณาอุทธรณ์เสร็จสิ้นก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ให้ถือว่าเป็นคำขอตามพระราชบัญญัตินี้โดยอนุโลม

มาตรา 65 บรรดาสมาคมและมูลนิธิที่ได้รับอนุญาตจัดตั้งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ต้องดำเนินการแก้ไขปรับปรุงข้อบังคับและการดำเนินการต่าง ๆ ของสมาคมหรือมูลนิธิให้เป็นไปตามที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัตินี้ ภายใน 180 วันนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ หากไม่แก้ไขปรับปรุงหรือดำเนินการภายในระยะเวลาดังกล่าว ให้ถือว่าเป็นอันเลิก และให้นายทะเบียนขีดชื่อสมาคมหรือมูลนิธินั้นออกจากทะเบียนสมาคมหรือทะเบียนมูลนิธิ

สำหรับ "ร่างพระราชบัญญัติสมาคมและมูลนิธิ พ.ศ. ...” กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย เปิดรับฟังความคิดเห็นต่อ โดยเปิดโอกาสให้ประชาชนร่วมเสนอความคิดเห็นผ่านทาง www.law.go.th ตั้งแต่วันที่ 25 ตุลาคม ถึง 15 พฤศจิกายน 2567