thansettakij
24 มี.ค.จับตา ฝ่ายค้าน กับ ยุทธการโรยเกลือ ในศึกซักฟอก “แพทองธาร”

24 มี.ค.จับตา ฝ่ายค้าน กับ ยุทธการโรยเกลือ ในศึกซักฟอก “แพทองธาร”

22 มี.ค. 2568 | 07:35 น.
อัปเดตล่าสุด :22 มี.ค. 2568 | 07:42 น.

24 มี.ค.เปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ รัฐมนตรีเป็นรายบุคคล จับตายุทธการโรยเกลือ ศึกซักฟอก “แพทองธาร” นายกรัฐมนตรี แบบหวังผล ทางกฎหมาย

 

วันที่24 มีนาคม 2568 ศึกซักฟอก การอภิปรายไม่ไว้วางใจนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 151นำโดย พรรคประชาชน ในฐานะพรรคฝ่ายค้าน  ที่ภาคสังคมมีความคาดหวังว่า ในที่สุดแล้วพรรคฝ่ายค้านจะ อภิปรายให้เป็นไปตามเป้าที่วางไว้หรือไม่  โดยเฉพาะการเปิดฉากยุทธการโรยเกลือ เปิดแผล นายกรัฐมนตรี เพื่อ หวังผล ทางการอภิปราย

แพทองธาร ชินวัตร แพทองธาร ชินวัตร

ที่ประกาศกร้าวโดย นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคประชาชน ที่ระบุว่า การอภิปรายไม่ไว้วางใจ นางสาวแพทองธาร ล้มเหลวในการบริหารราชการแผ่นดิน ซึ่งความล้มเหลวนี้ไม่ได้อยู่ที่พวกเรา แต่ความล้มเหลวนี้อยู่ที่ตัวท่าน ดังนั้นทุกเรื่องทั้งมิติความมั่นคง การทุจริตคอร์รัปชัน ปัญหาเศรษฐกิจเรื่องเหล่านี้เราก็สามารถหยิบเอามาอภิปรายไม่ไว้วางใจได้

นายรังสิมันต์ กล่าวต่อว่า วันที่ 24 มีนาคมนี้ เป็นวันที่เราเตรียมขุนพลเอาไว้มากมายในการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ โดยเริ่มต้นจากนายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส. บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคประชาชน ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาฯ

หลังจากนั้นมีอีกหลายคนที่อภิปราย ซึ่งตนคิดว่าหลายส่วนเราค่อนข้างมั่นใจในเรื่องพยานเอกสาร พยานหลักฐานต่างๆ ไว้วางใจและหลังจากการอภิปรายไม่ไว้วางใจไปแล้วก็จะมีการ ยุทธการโรยเกลือ ซึ่งครั้งนี้การโรยเกลือของเราหลังจากที่เราเปิดเอกสารที่ค่อนข้างมั่นใจว่าเอาผิดได้แน่นอน ยุทธการนี้จะเป็นการดำเนินการทางกฎหมายต่อไปกับทางนายกรัฐมนตรี

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ต้องส่งรายชื่อผู้อภิปรายให้พรรคประชาชนหรือไม่ว่ามีใครบ้าง นายรังสิมันต์ ตอบว่า  “ถูกต้อง”

ขณะพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐจะอภิปรายต่อจากนายณัฐพงษ์ใช่หรือไม่ นายรังสิมันต์ กล่าวว่า ขออนุญาตไม่คอนเฟิร์ม เราให้เกียรติหัวหน้าพรรคอยู่แล้ว และเข้าใจว่าไม่ได้มีเพียงแค่พรรคพลังประชารัฐเท่านั้น แต่เบื้องต้นขอให้รอการสรุปก่อนเพราะตอนนี้ยังไม่ได้สรุปในเรื่องการจัดลำดับผู้อภิปราย แต่เร็วๆนี้จะมีการสรุปออกมา และมีความเป็นไปได้ว่าในส่วนของการอภิปรายของหัวหน้าพรรคต้องให้ลำดับต้นๆอยู่แล้ว

ถามถึงกระแสข่าวว่าร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย จะอภิปรายและเขาต้องส่งชื่อมาให้พรรคประชาชนดูด้วยหรือไม่ นายรังสิมันต์ หัวเราะก่อนกล่าวว่า เบื้องต้นคนที่จะอภิปรายต้องมีการส่งชื่อ ซึ่งตนเข้าใจว่า การส่งรายชื่อยังไม่แล้วเสร็จ ดังนั้นคงยังตอบไม่ได้ว่าจะมีชื่อของร.ต.อ.เฉลิมหรือไม่ ขอรอดูกันก่อน ก็คงจะสรุปรายชื่อได้

ส่วนหากเขาขอมาจะได้หรือไม่นั้นคงต้องไปดูกัน ตนไม่สามารถยืนยันตรงนี้ได้ เพราะตอนนี้ตนยังไม่รู้ว่ามีการขอมาแบบนี้หรือไม่ ดังนั้น เบื้องต้นหากมีการขอมาก็ต้องคุยกับแกนนำพรรคประชาชนด้วยว่าสุดท้ายจะให้หรือไม่ให้อย่างไร

เรื่องนี้ต้องเป็นหลักปฏิบัติ ตนไม่สามารถตัดสินใจได้ เพราะไม่ใช่คุยแค่พรรคประชาชนพรรคเดียว อาจจะต้องคุยกับพรรคร่วมฝ่ายค้านด้วย เพราะเวลาเป็นไปตามสัดส่วนของทุกพรรค

" หากร.ต.อ. เฉลิมจะมาอภิปรายก็คงคิดกันต่อว่าจะใช้เวลาของใคร เพราะไม่มีโควตาของฝ่ายรัฐบาล"

ถามว่าหากพรรคร่วมฝ่ายค้านพรรคใดพรรคหนึ่งจะให้เวลาของตัวเอง กับร.ต.อ.เฉลิม ได้หรือไม่ นายรังสิมันต์ กล่าวว่า เบื้องต้นยังไงก็ต้องคุยกัน ถึงแม้เวลาเมื่อจัดสรรกันแล้วจะเป็นเวลาของพรรคการเมืองนั้นๆอย่างไรก็ต้องคุยกัน เพราะเราต้องดูภาพรวมของการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ไม่ว่าพรรคการเมืองจะมีอุดมการณ์หรือมีความคิดความเชื่ออย่างไร ถึงที่สุดก็ต้องทำงานร่วมกัน

เมื่อถูกถามถึงดินเนอร์ของพรรคร่วมรัฐบาลเมื่อวานนี้ที่มีการเช็คคะแนนเสียงและดูท่าทีนายกรัฐมนตรี นายรังสิมันต์กล่าวว่า การอภิปรายไม่ไว้วางใจในรอบนี้ทำให้เห็นถึงความกังวลและความเครียดของรัฐบาลในระดับที่มากกว่าครั้งก่อน ไม่ว่าจะเป็นการเสนอญัตติให้ถอนชื่อชายคนนั้น หรือความพยายามของประธานสภาฯ ที่แสดงให้เห็นถึงข้อบกพร่องของญัตติ

ทั้งนี้ กระบวนการหารือกับประธานสภา และเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรก็แสดงให้เห็นว่ามาตรฐานการปฏิบัติมีมาโดยตลอดจนกระทั่งมีการประกาศองครักษ์พิทักษ์นายกฯ จำนวน 20 คน ทำให้เห็นว่าการอภิปรายครั้งนี้เป็นเรื่องที่สมาชิกฝ่ายค้านยื่นเพื่อให้ผู้ที่จะต้องตอบข้อกล่าวหามีความชัดเจนและโปร่งใส

นายรังสิมันต์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ภาพของการเตรียมกำลังขุนพลในครั้งนี้สะท้อนให้เห็นว่านายกรัฐมนตรียังไม่พร้อมที่จะชี้แจงหรือให้คำตอบต่อข้อกล่าวหาต่าง ๆ ที่ฝ่ายค้านยื่นมา สถานการณ์ที่เช่นนี้แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลมีความกลัวและไม่มั่นใจในการเผชิญกับการอภิปรายครั้งนี้ อีกทั้งยังสะท้อนถึงความไม่ไว้วางใจที่มีอยู่ภายในวงการรัฐบาล แม้ในรัฐบาลจะเป็นการตั้งร่วมกัน แต่ความไม่แน่นอนและความขัดแย้งภายในยังคงปรากฏออกมาอย่างชัดเจน