ย้อนกลับไปเมื่อปี 2546 จุดเริ่มต้นของบริษัท เอกา โกลบอล จำกัด ผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์ยืดอายุอาหาร ชนิด Longevity Packaging ซึ่งเป็นบรรจุภัณฑ์พลาสติกแบบคงรูป (Rigid Barrier Plastic Packaging) ได้เริ่มต้นขึ้น จากผู้ประกอบการธุรกิจเอสเอ็มอี SME คนไทยรายเล็กๆ ที่ต้องแบกภาระขาดทุนในช่วง 4-5 ปีแรกหลายร้อยล้านบาท จากวันนั้นสู่วันนี้ เอกา โกลบอล จำกัด สามารถทำรายได้ทะลุหลักพันล้านบาท
ความสำเร็จที่เกิดขึ้น มิได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ แต่มาจากความตั้งใจที่จะนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีความแตกต่าง โดยเฉพาะบรรจุภัณฑ์ประเภทอาหารพร้อมรับประทาน (Ready-To-Eat) ที่สามารถเก็บอาหารได้นาน 2 ปีไม่ต้องแช่ตู้เย็น นอกจากนั้นแล้วในแต่ละปีจะมีการต่อยอดนวัตกรรมเทคโนโลยีใหม่ๆมาใช้ในการผลิต รวมไปถึงการมองหาโอกาสทางการตลาดอย่างต่อเนื่อง ทำให้วันนี้ชื่อของ เอกา โกล บอล จำกัด มิใช่แค่ตลาดในประเทศไทย แต่ยังก้าวไปสู่ตลาดระดับโลก
นายชัยวัฒน์ นันทิรุจ ประธานกรรมการ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่ม บริษัท เอกา โกลบอล จำกัด ผู้ผลิตนวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ยืดอายุอาหาร (Longevity Packaging) ชั้นนำของไทย เปิดเผยว่า ปัจจุบันเอกา โกลบอล มีโรงงานในประเทศไทย 1 แห่ง ตั้งอยู่ที่ บางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา มีกำลังการผลิต 2,500 ล้านชิ้นต่อปี และมีโรงงานในต่างประเทศอีก 3 แห่งได้แก่ โรงงานในประเทศจีน 2 แห่ง และอินเดียอีก 1 แห่ง ซึ่งบริษัทฯได้เข้าไปซื้อกิจการแบรนด์ระดับโลกมาเมื่อ 3 ปีก่อน และอินเดียอีก 1 แห่ง กำลังอยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้างคาดว่าแล้วเสร็จและจะเริ่มดำเนินการในต้นปีหน้า
"เรามีโรงงานอยู่ 4 แห่งใน 3 ประเทศ สำหรับโรงงานในประเทศไทย เพิ่งจะทำการเพิ่มกำลังการผลิต 15 % ขณะที่สัดส่วนการผลิตจะแบ่งเป็นผลิตภัณฑ์บรรจุภัณฑ์อาหาร 50 % และ ผลิตภัณฑ์บรรจุภัณฑ์สำหรับสัตว์เลี้ยง 50 % มีการส่งออกคลอบคลุมไปทั่วโลก ตั้งแต่ เอเชียแปซิฟิก,อินเดีย,ยุโรป,อเมริกาใต้ ส่วนโรงงานในต่างประเทศอีก 3 แห่งจะป้อนตลาดในประเทศนั้นๆเป็นหลัก "
นายชัยวัฒน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ภาพรวมธุรกิจบรรจุภัณฑ์ทั่วโลกในช่วงที่ผ่านมา มีอัตราการเติบโตประมาณ 30 % และคาดว่าในช่วง 3 - 5 ปีธุรกิจนี้จะยังคงมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง ทั้งนี้เป็นผลมาจากพฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่ โดยเฉพาะหลังการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด -19 ที่ทำให้ผู้บริโภคส่วนใหญ่ต้องอยู่ที่บ้านมากขึ้น ทำให้บรรจุภัณฑ์ที่มีความสะดวกสบาย ใช้งานง่าย ปลอดภัย และรักษาสิ่งแวดล้อม
สามารถตอบโจทย์ลูกค้าได้จากทิศทางและแนวโน้มการเติบโตดังกล่าว ทำให้เอกา โกลบอล จำกัด ได้เตรียมแผนงานพร้อมทั้งวางโรดแมปของบริษัทฯให้ก้าวไปสู่องค์กรแห่งนวัตกรรมและเศรษฐกิจหมุนเวียน(Circular Economy) ซึ่งเป้าที่วางไว้จะถูกขับเคลื่อนผ่านแผนงาน เริ่มตั้งแต่ การเพิ่มกำลังการผลิตให้มากขึ้น เพื่อแก้ปัญหาเรื่องต้นทุนต่อหน่วย โดยเฉพาะวัตถุดิบที่มีราคาสูงขึ้น
ประการต่อมา คือให้ความสำคัญกับ การวิจัยและพัฒนา (R & D) ซึ่งตามปกติทุกปีจะใช้งบประมาณ 1- 2 % ของยอดขายรวมมาดูแลส่วนงานตรงนี้ แต่ล่าสุดบริษัทฯได้ตัดสินใจทุ่มงบประมาณทั้งสิ้น 60 -70 ล้านบาท เพื่อตั้งศูนย์วิจัยและพัฒนา (R & D) ขึ้นมา โดยตั้งอยู่บริเวณเดียวกับโรงงาน และคาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จในปี 2565 ซึ่งศูนย์ R & D จะรองรับกับการพัฒนาแบบครบวงจร 360 องศาในอนาคต
นายชัยวัฒน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า นวัตกรรมเป็นสิ่งสำคัญ แม้ว่าผลิตภัณฑ์ของเอกา โกลบอลจะสามารถรีไซเคิลได้ 100 % แต่บริษัทฯมีแผนพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้เป็นกรีนโปรดักส์ เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะช่วยสร้างมูลค่าให้กับสินค้า โดยใช้พลาสติกที่ทำมาจากพืช เช่น พลาสติกจากข้าวโพด หรือ มันสำปะหลัง นอกจากนั้นแล้ว บริษัทฯยังมีแผนพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่สามารถจะยืดอายุการจัดเก็บอาหารให้ได้ยาวนานมากกว่า 2 ปี
"การให้ความสำคัญกับการวิจัยและพัฒนารวมไปถึงการจัดการพลาสติก การสร้างมูลค่าให้ขยะพลาสติกสามารถที่จะกลับมารีไซเคิลได้ ทั้งหมดนี้เป็นไปตามแนวทางที่บริษัทฯได้ตั้งเป้าหมายไว้ นั่นคือองค์กรแห่งนวัตกรรมและเศรษฐกิจหมุนเวียน(Circular Economy)ซึ่งจะสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนให้กับองค์กร (Sustainable Growth)ต่อไปในอนาคต"
อีกหนึ่งแผนงานที่เอกา โกลบอล ตั้งเป้าหมายไว้คือการช่วยเหลือเอสเอ็มอี SME โดยเฉพาะธุรกิจอาหาร เพราะเล็งเห็นศักยภาพของธุรกิจอาหารไทยมีโอกาสเติบโตสูงในตลาดโลก แต่ในช่วงที่ผ่านมา เอสเอ็มอีส่วนใหญ่ยังขาดการสนับสนุนทั้งด้านเงินทุน นวัตกรรม ซึ่งเอกา โกลบอล ได้มีการสื่อสารให้ความรู้เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯที่จะช่วยให้สินค้า ที่อาจจะเป็นขนม หรือ อาหาร ของลูกค้าสามารถที่จะเก็บไว้ได้นานถึง 2 ปี อย่างไรก็ตามหากมีหน่วยงานรัฐบาลเข้ามาช่วยผลักดันและประสานงาน ก็จะช่วยขับเคลื่อนให้ธุรกิจเอสเอ็มอีเหล่านี้ได้แจ้งเกิดในตลาดโลก
นายชัยวัฒน์ กล่าวทิ้งท้ายว่า จากแผนงานเชิงรุกทั้งหมดที่วางไว้ ทำให้เอกา โกลบอล จำกัด มั่นใจว่า ผลประกอบการในปีนี้ ( 2564 ) จะมีรายได้ 1,250 ล้านบาท เติบโตเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา (2563 ) ที่ทำรายได้ 1,000 ล้านบาท และเอกา โกลบอล จำกัด คาดว่าภายใน 3 - 5 ปี จะสามารถทำรายได้ 2,500 -3,000 ล้านบาท