ธนาคารกสิกรไทยมองสัปดาห์ถัดไประหว่างวันที่ 9-13พ.ค.2565 กรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทที่ระดับ33.80-34.80 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟดสถานการณ์ยูเครน-รัสเซีย และทิศทางเงินทุนต่างชาติ
ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญได้แก่ ดัชนีราคาผู้บริโภค ดัชนีราคาผู้ผลิต ดัชนีราคาการนำเข้า/ส่งออกเดือนเม.ย. ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนพ.ค. (เบื้องต้น) และจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์นอกจากนี้ตลาดยังรอติดตามข้อมูลเศรษฐกิจเดือนเม.ย. ของจีน อาทิ การส่งออก ดัชนีราคาผู้บริโภค ดัชนีราคาผู้ผลิต และยอดปล่อยกู้ใหม่สกุลเงินหยวน
สรุปการเคลื่อนไหวค่าเงินบาทระหว่างวันที่ 2-6พ.ค.2565 เงินบาทเผชิญแรงขายเกือบตลอดสัปดาห์ โดยเงินบาทแตะระดับอ่อนค่าสุดในรอบ 5 ปีที่ 34.54 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงแรกสอดคล้องกับสกุลเงินเอเชียในภาพรวม ขณะที่เงินดอลลาร์ฯ แข็งค่าขึ้นตามการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ ก่อนการประชุมเฟด
อย่างไรก็ดีเงินบาทพลิกแข็งค่าช่วงสั้นๆ ท่ามกลางแรงขายเงินดอลลาร์ฯ เพื่อทำกำไรหลังผลการประชุมเฟด แม้เฟดจะปรับขึ้นดอกเบี้ย 0.50% ไปที่กรอบ 0.75-1.00% ตามคาด แต่ก็ส่งสัญญาณไม่เร่งจังหวะการขึ้นดอกเบี้ยเพราะคำนึงถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับเศรษฐกิจสหรัฐฯ
ทั้งนี้ เงินบาทอ่อนค่ากลับมาอีกครั้งช่วงปลายสัปดาห์ตามแรงขายสุทธิพันธบัตรไทยของต่างชาติ และตลาดบางส่วนกลับมาประเมินว่า เฟดอาจต้องเร่งคุมเข้มดอกเบี้ยในเดือนมิ.ย. เพื่อสกัดเงินเฟ้อสหรัฐฯ
เมื่อวันศุกร์ (6 พ.ค.) เงินบาทปิดตลาดที่ 34.35 บาทต่อดอลลาร์ฯ เทียบกับระดับ 34.25 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในวันศุกร์ก่อนหน้า (29 เม.ย.)
ขณะที่ระหว่างวันที่ 2-6 พ.ค. นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทย 2,543.2 ล้านบาท และมีสถานะเป็น NET OUTFLOW ออกจากตลาดพันธบัตร 6,971.2 ล้านบาท (มาจาก การขายสุทธิพันธบัตร 6,940.3 ล้านบาท และมีตราสารหนี้หมดอายุ 30.9 ล้านบาท)