วันนี้ (8 มี.ค.2566 ) เวลา 14.00 น. นายเฉลิมพงษ์ กลับดี และ นางสาว ณัฐวดี เต็งพานิชกุล ได้รับมอบอำนาจ จาก คณะกรรมการมูลนิธิเพื่อผู้ บริโภค ให้ยื่นฟ้อง คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ “กสทช.” เป็นผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 และ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 คือ สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ สำนักงาน กสทช. โดยยื่นฟ้องต่อ ศาลปกครองกลาง เพื่อขอให้เพิกถอนมติ กสทช.กรณี อนุมัติควบรวมบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ทรู และ บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ดี แทค ชี้เหตุ เป็นการกระทำโดยไม่มีอำนาจและไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ทั้งนี้ สืบเนื่องจากการประชุมนัดพิเศษ ของ คณะกรรมการกิจการ กระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กสทช. ครั้งที่ 5/2565 เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2565 ซึ่งเอื้อประโยชน์ให้ เอกชน โดยมีมติเสียงข้างมาก 3 ต่อ 2 อนุมัติ การรวมธุรกิจระหว่าง ทรู-ดีแทค โดยไม่รับฟังความคิดเห็นของผู้มีส่วนได้-เสีย และ ประชาชน ทั่วไป , ไม่นำรายงานฉบับสมบูรณ์ของที่ปรึกษาต่างประเทศมาพิจารณา ประกอบ และรับฟังความคิดเห็นของบริษัทที่ปรึกษาอิสระ (บริษัทหลัก ทรัพย์ ฟินันซ่า จำกัด) เป็นการกระทำที่ฝ่าฝืน ต่อกฎหมาย ประกาศ ระเบียบ กฎ และข้อบังคับที่เกี่ยวข้อง
การฟ้องคดีเพื่อเพิกถอนมติของ กสทช. เป็นมติจากที่ประชุมคณะ กรรมการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค เมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2566 ยื่นฟ้อง ผู้ถูก ฟ้องคดีที่ 1 คือ คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และ กิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ “กสทช.” และ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 คือ สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และ กิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ สำนักงาน กสทช.
ในฐานะที่ “มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค” ได้รับการจัดตั้ง โดยมีวัตถุประสงค์ หลัก เพื่อส่งเสริมให้ผู้บริโภคได้รับการคุ้มครองตามสิทธิอันพึงมีพึงได้ ตามบทบัญญัติของกฎหมายและบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญแห่งราช อาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 46 แต่ ณ ปัจจุบัน ผู้บริโภคถูก ละเมิดสิทธิอันพึงมีพึงได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เหตุการณ์ที่ คณะ กรรมการ กสทช. มติเสียงข้างมาก 3 ต่อ 2 อนุมัติ การรวม ทรู-ดีแทค
นางสาวกชนุช แสงแถลง ผู้อำนวยการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ชี้ว่า จากเหตุ นี้ ทำให้ผู้บริโภคได้รับผลกระทบ เพราะเมื่อประเทศไทย เหลือผู้ให้ บริการรายใหญ่เพียง 2 เจ้า อย่างเป็นทางการ และบริษัทใหม่กลายเป็น ผู้ให้บริการอันดับ 1 ทันที มีส่วนแบ่งการตลาดเกินกว่าร้อยละ 50 ก่อให้ เกิดการผูกขาดธุรกิจโทรคมนาคม โดยไม่ได้เกิดการพัฒนาด้าน คุณภาพ สุ่มเสี่ยงต่อการฮั้วราคา ส่งผลต่อค่าโทรศัพท์ที่จะเพิ่มขึ้นร้อย ละ 10 ถึง 200 รวมทั้งตลาดมือถือจะอยู่ในภาวะ การแข่งขันตกต่ำ ยาก เกินจะฟื้นฟูให้อยู่ในสภาพเดิม
นี่จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ คณะกรรมการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคลงมติ ยื่น ฟ้อง คณะกรรมการ กสทช.และ สำนักงาน กสทช. เป็น ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 และ 2 ซึ่งเป็นไปตามวัตถุประสงค์ เพื่อส่งเสริมให้ผู้บริโภคได้รับการ คุ้มครองตามสิทธิอันพึงมีพึงได้ของผู้บริโภค ส่งเสริมและประสานงาน ให้ผู้บริโภคและองค์กรคุ้มครองผู้บริโภคมีส่วนในการคุ้มครองผู้บริโภค และดำเนินการเพื่อสาธารณะประโยชน์ การที่ผู้ฟ้องคดี ฟ้องว่า การกระ ทำของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1และ ที่ 2 เป็นการกระทำโดยไม่มีอำนาจและ ไม่ ชอบด้วยกฎหมาย การฟ้องคดีนี้จึงเกี่ยวข้องกับประโยชน์สาธารณะ และถือได้ว่าเป็นการดำเนินการภายในขอบวัตถุประสงค์ ของผู้ฟ้องคดี ที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมาย ถือได้ว่า ผู้ฟ้องคดีเป็นผู้ได้รับความเดือดร้อน เสียหาย หรืออาจจะเดือดร้อนเสียหายโดยมิอาจหลีกเลี่ยงได้จากการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 และ ที่ 2 และเนื่องจากคณะกรรมการ กสทช.และ สำนักงาน กสทช.ไม่มีอำนาจ ในการพิจารณารับรายงานของบริษัททั้งสองไว้พิจารณา และทำให้ มาตรการหรือ เงื่อนไขเฉพาะของ กสทช. ทั้งหมด เป็นโมฆะ โดยขอให้ เพิกถอนมติของคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงกิจการ โทรทัศน์ และ กิจการโทรคมนาคม ประชุมนัดพิเศษ ครั้งที่ ๕/๒๕๖๕ เมื่อวันที่ ๒๐ ตุลาคม ๒๕๖๕ และเพิกถอน นิติกรรมที่เกี่ยวข้อง หรือเกี่ยวเนื่องกับมติ ทั้งหมด และให้มีผลย้อนหลัง