ในทุกๆ ไม่กี่ปีมักได้ยินคำว่า "ชัตดาวน์" หรือการปิดหน่วยงานรัฐบาลสหรัฐฯ ที่มักเกิดขึ้นจากความขัดแย้งทางการเมือง ข้อมูลของบริการวิจัยรัฐสภาสหรัฐระบุว่า สหรัฐฯ เผชิญกับการชัตดาวน์แล้ว 14 ครั้ง ตั้งแต่ปี 1981 แม้ว่าส่วนใหญ่กินเวลาเพียง 1-2 วัน
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ปัจจุบันซับซ้อนกว่าที่ผ่านมา เพราะเกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งถัดไป การหาทางออกในครั้งนี้ไม่เพียงส่งผลต่อเสถียรภาพทางการเมืองของสหรัฐฯ แต่ยังเป็นบททดสอบที่สำคัญต่อเศรษฐกิจโลก
ชัตดาวน์คืออะไร ทำไมถึงเกิดขึ้น
โดยปกติ รัฐสภาสหรัฐฯ ต้องผ่านร่างงบประมาณให้แก่หน่วยงานรัฐบาลกลางทั้ง 438 แห่งก่อนวันที่ 1 ตุลาคมของทุกปี แต่ปัญหาความล่าช้าและความขัดแย้งทางการเมืองมักนำไปสู่การใช้งบประมาณชั่วคราว ซึ่งครั้งนี้ร่างงบประมาณชั่วคราวจะหมดอายุในเช้าวันเสาร์ (20 ธันวาคม) หากไม่สามารถตกลงกันได้ก่อนหน้านี้ หน่วยงานรัฐบาลกลางบางส่วนต้องหยุดทำงาน
โดนัลด์ ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดีและว่าที่ผู้นำสหรัฐฯ สมัยที่สอง กดดันให้สมาชิกรัฐสภาแก้ไขปัญหาเพดานหนี้ ซึ่งเป็นขีดจำกัดที่รัฐสภากำหนดสำหรับการกู้ยืมของรัฐบาล โดยปัจจุบันหนี้สาธารณะของสหรัฐฯ สูงถึง 36 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ คิดเป็น 98% ของ GDP
นโยบายของทรัมป์ เช่น การลดภาษีในสมัยแรก ทำให้หนี้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และเขาต้องการเลี่ยงปัญหานี้เพื่อให้สามารถดำเนินนโยบายต่อในสมัยที่สอง อย่างไรก็ตาม การเผชิญหน้าระหว่างพรรครีพับลิกันและเดโมแครตเกี่ยวกับเงื่อนไขการขยายเพดานหนี้ เคยนำไปสู่การชัตดาวน์ในปี 1995 และทำให้สหรัฐฯ ถูกลดอันดับความน่าเชื่อถือในปี 2011
เพดานหนี้ (Debt Ceiling) คืออะไร
ระดับหนี้สูงสุดที่รัฐบาลสหรัฐฯ สามารถกู้ยืมได้ หากถึงเพดานนี้ รัฐบาลจะไม่สามารถกู้เงินเพิ่มเติมเพื่อชำระหนี้หรือดำเนินงานอื่นๆ ได้ การแก้ปัญหาคือต้องได้รับอนุมัติจากรัฐสภาให้ขยายเพดานหนี้
แต่ปัญหาคือเพดานหนี้มักถูกใช้เป็นเครื่องมือในการต่อรองทางการเมือง พรรคการเมืองที่มีเสียงข้างน้อยมักใช้ประเด็นนี้กดดันเพื่อแลกกับนโยบายที่พวกเขาต้องการ และสิ่งนี้ทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ ต้องเผชิญความไม่แน่นอนซ้ำแล้วซ้ำเล่า
การชัตดาวน์ไม่เพียงส่งผลกระทบต่อพนักงานรัฐบาลกลางกว่า 800,000 คนที่ต้องลาพักงานโดยไม่ได้รับค่าจ้าง แต่ยังสร้างผลกระทบในวงกว้าง
การชัตดาวน์ครั้งล่าสุดในปี 2018-2019 ยาวนานถึง 35 วัน และสร้างความเสียหายมูลค่า 3,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็น 0.02% ของ GDP ขณะที่ความไม่แน่นอนจากวิกฤตชัตดาวน์ทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกสั่นคลอน นักลงทุนกังวลเกี่ยวกับเสถียรภาพทางการเงินของสหรัฐฯ
การหยุดชะงักของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น ศุลกากร ส่งผลให้กระบวนการนำเข้าและส่งออกสินค้าชะลอตัว ห่วงโซ่อุปทานระดับโลกได้รับผลกระทบ หากสหรัฐฯ เกิดการผิดนัดชำระหนี้ (Default) จะกระทบความเชื่อมั่นของระบบการเงินโลก และอาจทำให้ประเทศอื่น ๆ ต้องแบกรับต้นทุนการกู้ยืมที่สูงขึ้น
เมื่อรัฐบาลไม่ผ่านงบประมาณ บทเรียนจากนานาประเทศ
การไม่ผ่านร่างกฎหมายงบประมาณในระบบรัฐสภาทั่วโลกนั้น แม้จะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ แต่ผลลัพธ์กลับแตกต่างจากที่หลายคนอาจคาดคิด ในประเทศที่ใช้ระบบรัฐสภาส่วนใหญ่ โดยเฉพาะในยุโรป การคว่ำร่างงบประมาณไม่ได้นำไปสู่การปิดหน่วยงานรัฐ แต่มักจะนำไปสู่การเลือกตั้งใหม่แทน
กรณีที่น่าสนใจเกิดขึ้นในแคนาดาเมื่อปี 2011 เมื่อรัฐบาลเสียงข้างน้อยของนายกรัฐมนตรีสตีเฟน ฮาร์เปอร์ จากพรรคอนุรักษนิยม เสนอร่างงบประมาณแต่ถูกฝ่ายค้านคว่ำ นำไปสู่การลงมติไม่ไว้วางใจและการเลือกตั้งใหม่ แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ ระหว่างนั้นบริการภาครัฐยังคงดำเนินต่อไปอย่างต่อเนื่อง
เบลเยียมนำเสนอกรณีที่น่าสนใจยิ่งกว่า เมื่อประเทศนี้อยู่ในภาวะไร้รัฐบาลยาวนานถึง 589 วันในช่วงปี 2010-2011 แต่ประชาชนยังคงได้รับบริการสาธารณะตามปกติ สะท้อนให้เห็นถึงความเข้มแข็งของระบบราชการและกลไกการบริหารประเทศ
ล่าสุด ไอร์แลนด์ได้แสดงให้เห็นอีกรูปแบบหนึ่งของการบริหารประเทศ ด้วยรัฐบาลเสียงข้างน้อยที่ดำรงอยู่ได้ระหว่างปี 2016-2020 โดยอาศัยการสนับสนุนจากพรรคฝ่ายค้านในการผ่านงบประมาณและการลงมติไว้วางใจ แสดงให้เห็นว่าการเมืองแบบประนีประนอมสามารถรักษาเสถียรภาพของประเทศได้