เปิดหลักฐาน ประธานกสทช. รับค่าตอบแทน ‘พนักงานมหาวิทยาลัย’ส่อขาดคุณสมบัติ

31 พ.ค. 2567 | 10:03 น.
อัปเดตล่าสุด :31 พ.ค. 2567 | 10:09 น.

กมธ. ไอซีที – นักกฎหมาย ชี้ “สรณ” ขาดคุณสมบัติ ‘กสทช.’ สภาผู้บริโภค เปิดหลักฐานชัด รับค่าตอบแทน ‘พนักงานมหาวิทยาลัย’

วันนี้ (31 พฤษภาคม 2567) สภาผู้บริโภค จัดเวทีเสวนา ‘เปิดกฎหมาย : ประธาน กสทช. ขาดคุณสมบัติหรือไม่’ โดยมี ผศ. ดร.ปริญญา เทวานฤมิตรกุล คณะนิติศาสตร์ มหาลัยธรรมศาสตร์ ดร.ลัดดาวัลย์ ตันติวิทยาพิทักษ์ ประธานคณะกรรมการการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) และนางสาวสารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการสำนักงานสภาผู้บริโภค ร่วมแลกเปลี่ยน วิเคราะห์กฎหมาย และถอดไทม์ไลน์กรณีดังกล่าว

สำหรับภาพรวมของเวทีมีการตั้งข้อสังเกตถึงสถานะความเป็น “พนักงานหรือลูกจ้าง” มหาวิทยาลัยมหิดล ของ นพ.สรณ บุญใบชัยพฤกษ์ รักษาการประธาน กสทช. ซึ่งเป็นลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 8 (2) ของ พ.ร.บ. องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคม ปี 2553 อีกทั้งยังมีประเด็นเรื่องระยะเวลาของการลาออกซึ่งไม่เป็นไปตามมาตรา 18 ของ พ.ร.บ. ฉบับเดียวกัน โดยไม่มีการชี้แจงที่ชัดเจนจากทั้ง นพ. สรณ และมหาวิทยาลัยมหิดล ทั้งนี้ คาดหวังให้ นพ. สรณ และมหาวิทยาลัยมหิดล ออกมาชี้แจงถึงกรณีดังกล่าว และหากขาดคุณสมบัติจริงควรแสดงความจริงใจด้วยการลาออกจากตำแหน่งเพื่อให้เป็นไปตามกฎหมาย

สารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการสำนักงานสภาผู้บริโภค กล่าวว่า คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กสทช. ถือว่าเป็นองค์กรสำคัญในการกำกับดูแลกิจการกระจายเสียง โทรทัศน์ และโทรคมนาคม ที่จะต้องทำให้ผู้บริโภคเข้าถึงเครือข่ายในราคาที่เป็นธรรม การเข้าถึงสื่อโทรทัศน์ที่ไม่มากไปด้วยโฆษณาที่ผิดกฎหมายหรือโฆษณาที่ทำให้ผู้บริโภคหลงผิด และปัญหาเอสเอ็มเอสหลอกลวง

“สภาผู้บริโภคต้องการเห็นความชัดเจนในเรื่องนี้ เพราะมีผลต่อการลงมติในกรณีที่ออกเสียงใกล้เคียงกัน เนื่องจากว่า องค์คณะ กสทช. มี 7 คน หากประธานอยู่ข้าง 4 เสียง มตินั้นมีปัญหาแน่นอน ไม่ว่ามตินั้นจะเป็นผลดีหรือผลเสียต่อผู้บริโภค และหากว่ามีการลงมติด้านการคุ้มครองผู้บริโภคแล้วไม่มีผล แต่ถือว่ามีผลแล้วก็จะส่งผลต่อการปฏิบัติตามหรือการดำเนินการในอนาคต เพราะฉะนั้นเพื่อให้เกิดความชัดเจน จะได้ไม่มีข้อโต้แย้งจากกรรมการ หรือผู้ประกอบการที่ต้องปฏิบัติตาม ว่าสรุปแล้วจะต้องปฏิบัติตามอย่างไรต่อไป” สารีระบุ


 

ทางด้าน ผศ. ดร.ปริญญา เทวานฤมิตรกุล คณะนิติศาสตร์ มหาลัยธรรมศาสตร์ ชี้ให้เห็นว่า จากข้อมูลที่ปรากฎในเอกสารของมหาวิทยาลัยมหิดลเลขที่ อว. 78/ล ที่ส่งไปยังคณะกรรมาธิการการเทคโนโลยีสารสนเทศ การสื่อสาร และการโทรคมนาคม วุฒิสภา ตามคำขอจากกรรมาธิการ ยังสร้างความคลุมเครือและมีประเด็นที่สร้างความสงสัยให้แก่สังคมในหลายประเด็น ทั้งประเด็นที่มหาลัยมหิดลชี้แจงว่า ตั้งแต่วันที่ 20 ธันวาคม 2564 จนถึงวันที่ 12 เมษายน 2565 นพ.สรณ มีสถานะเป็นพนักงานมหาวิทยาลัย ต่อมาวันที่ 8 มกราคม 2565 ถึงวันที่ 12 เมษายน 2565 มีสถานะเป็นแพทย์ค่าตอบแทนรายชั่วโมง โดยตั้งคำถามว่าช่วงเวลาจนถึงวันที่ 12 เมษายน 2565 นพ.สรณยังเป็นพนักงานมหาวิทยาลัย ใช่หรือไม่

ทั้งนี้ พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุ โทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2553 มาตรา 8 (2) ระบุว่า ‘ต้องไม่เป็นพนักงานหรือลูกจ้างของหน่วยงานของรัฐ…’ และผู้ที่จะเข้ามาดำรงตำแหน่งกรรมการ กสทช. ต้องแสดงหลักฐานว่าได้ลาออกจากการเป็นลูกจ้างหรือพนักงานของหน่วยงานรัฐ ภายใน 15 วัน ตามมาตรา 18 ของ พ.ร.บ. กสทช.

ดังนั้น วันที่ 20 ธันวาคม 2564 นพ.สรณได้รับเลือกให้เป็นกรรมการ กสทช. หากนับระยะเวลา 15 วัน จะครบกำหนดวันที่ 4 มกราคม 2565 นพ.สรณ ควรจะมีหลักฐานที่แสดงว่าได้ลาออกภายในวันดังกล่าวแล้วหรือไม่ แต่หลักฐานแสดงออกมาว่านพ.สรณ ได้ลาออกวันที่ 8 มกราคม 2565 ซึ่งประเด็นนี้หากมีการตีความและนับวันหยุดเข้าไปด้วยอาจจะสามารถตีความเป็นวันที่ดังกล่าวได้เช่นเดียวกัน ทั้งนี้ หากการแสดงหลักฐานการลาออกไม่เป็นไปตามกฎหมายในมาตรา 18 ถือว่าไม่เคยได้รับเลือกให้เป็นกรรมการมาตั้งแต่แรก ซึ่งขั้นตอนอาจไม่ชอบด้วยกฎหมายก่อนที่จะโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่งกรรมการ กสทช.

ขณะที่ประเด็นการเป็นแพทย์ค่าตอบแทนรายชั่วโมงของนพ.สรณ นั้นถือว่านพ.สรณ เป็นลูกจ้างของมหาวิทยาลัยมหิดลใช่หรือไม่นั้น พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 ให้ความหมายของคำว่าลูกจ้างว่า ‘ผู้รับจ้างทำการงานผู้ซึ่งตกลงทำงานให้นายจ้างโดยได้รับค่าจ้าง ไม่ว่าจะเรียกชื่ออย่างไร โดยมิคำนึงถึงว่าจะมีการทำสัญญาจ้างเป็นลายลักษณ์อักษรหรือไม่ หรือได้รับค่าตอบแทนเป็นค่าจ้าง สินจ้าง หรือค่าตอบแทนในลักษณะที่เป็นทรัพย์สินอย่างอื่น

ทั้งนี้ ขอเรียกร้องให้มหาวิทยาลัยมหิดลนำข้อเท็จจริงที่สร้างความคลุมเครือนำเสนอให้ชัดเจนยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการเป็นพนักงานของหน่วยงานรัฐ ความเป็นลูกจ้างยังคงอยู่ หรือการรับค่าจ้างภายในเดือนเมษายน 2565 ทั้งที่มีการแจ้งลาออกตั้งแต่วันที่ 12 เมษายน 2565 แล้ว เนื่องจากการเข้ามาเป็นกรรมการ กสทช. มีการใช้อำนาจรัฐในการดำเนินงานต่าง ๆ รวมถึงการรับเงินเดือนจากภาษีประชาชน ควรมีการตรวจสอบอย่างเคร่งครัดทุกขั้นตอน หากพบว่า หากกมธ.เทคโนโลยี วุฒิสภาฯ ได้ตรวจสอบและพิจารณาพบว่าขาดคุณสมบัติการเป็นกรรมการ กสทช. มีลักษณะต้องห้าม ควรมีการดำเนินตามข้อกำหนดกฎหมายโดยทันที

ขณะที่ ดร.ลัดดาวัลย์ ตันติวิทยาพิทักษ์ ประธานคณะกรรมการการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย กล่าวถึง ความคาดหวังด้านธรรมาภิบาลและจริยธรรมว่า ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องย่อมตระหนักรู้อย่างชัดเจนว่าประเด็นเรื่องจรรยาบรรณและธรรมาภิบาลมีความสำคัญมาก ในฐานะแพทย์ต้องกำหนดคุณสมบัติและตรวจสอบประสบการณ์ความรู้ก่อนจะไปรักษาคนไข้ ซึ่งในทางปฏิบัติมีการตรวจสอบอย่างเคร่งครัดเนื่องจากเป็นอาชีพที่เกี่ยวข้องกับความเป็นความตาย ในทำนองเดียวกัน การทำหน้าที่ กสทช. ย่อมมีผลต่อสังคม ผู้บริโภคที่ใช้บริการเทคโนโลยี จึงมีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน ดังนั้น การเข้ามาทำหน้าที่ดังกล่าว โดยเฉพาะผู้ที่เป็น “ประธาน” ต้องได้รับการคัดเลือกและเข้ามาปฏิบัติหน้าที่ด้วยวิธีการที่ถูกต้องที่เป็นไปตามข้องกำหนด

สำหรับกรณีของ นพ.สรณ เมื่อเกิดการตั้งคำถามเรื่องคุณสมบัติก็ต้องมีการชี้แจงข้อเท็จจริงอย่างชัดเจน เพื่อให้สังคมคลายความกังวล แต่หากสิ่งที่สังคมตั้งข้อสังเกตเป็นเรื่องจริง และขาดคุณสมบัติการเป็นประธาน กสทช. จริง นพ.สรณ ควรแสดงความจริงใจด้วยการลาออก เพื่อความสง่างามและเพื่อเป็นตัวอย่างที่ดีต่อสังคม