นายโสภณ พรโชคชัย ประธานศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก.เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส (www.area.co.th) เปิดเผยว่าในระยะ 5 กิโลเมตร จากเหตุการณ์ไฟไหม้โรงงานกิ่งแก้ว มีโครงการที่อยู่อาศัยในพื้นที่เสี่ยงถึง 221 โครงการ ส่วนในรัศมี 10 กิโลเมตรมีที่อยู่อาศัย 916 โครงการ ทั้งนี้ จากฐานข้อมูลวิจัย พบ ในรัศมี 5 กม. มีโครงการที่อยู่อาศัย 221 โครงการ แบ่งเป็น อาคารชุด 12 โครงการ บ้านเดี่ยว/บ้านแฝด 109 โครงการ และทาวน์เฮาส์/ทาวน์โฮม 100 โครงการ ส่วนในรัศมี 10 กม. มีโครงการที่อยู่อาศัย 916 โครงการ แบ่งเป็นอาคารชุด 166 โครงการ บ้านเดี่ยว/บ้านแฝด 341 โครงการ และทาวน์เฮาส์/ทาวน์โฮม 409 โครงการ
ส่วนเจาะเฉพาะระยะ 4 กิโลเมตรรอบๆ โรงงานดังกล่าว มีที่อยู่อาศัยรวมกันถึง 38,305 หน่วย รวมมูลค่า 151,134 ล้านบาท โดยในแง่จำนวนหน่วย 32% เป็นบ้านเดี่ยว 34% เป็นทาวน์เฮาส์ และ 24% เป็นห้องชุด ที่เหลือเป็นที่อยู่อาศัยประเภทอื่น อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาในแง่มูลค่า บ้านเดี่ยวมีมูลค่ารวม 61% รองลงมาคือทาวน์เฮาส์ 23% บ้านแฝด 9% และห้องชุด 5% เท่านั้น ทั้งนี้บ้านเดี่ยวที่มีราคาเฉลี่ยหน่วยละ 7.454 ล้านบาท บ้านแฝด 4.9 ล้านบาท ทาวน์เฮาส์ 2.65 ล้านบาท ตึกแถว 4.832 ล้านบาท และห้องชุดมีราคาเฉลี่ยต่ำเพียง 0.794 ล้านบาท โดยรวมแล้วที่อยู่อาศัยหน่วยหนึ่งมีราคาเฉลี่ย 3.946 ล้านบาท
หากมีการอพยพประชาชนในรัศมี 4 กิโลเมตร เป็นเวลา 1 วัน และหากมีการจ่ายค่าชดเชยในการไปเช่าที่พักในพื้นที่อื่น เช่น โรงแรมมาใช้อยู่ครอบครัวละ 2 ห้องๆ ละ 1,000 บาท ก็ต้องจ่ายค่าชดเชยสำหรับที่อยู่อาศัย 38,305 หน่วย รวมเป็นเงิน 76.61 ล้านบาท (38,305 หน่วยๆ ละ 2 ห้องๆ ละ 1,000 บาท จำนวน 2 คืน) อย่างไรก็ตาม ก็ยังไม่ทราบว่าจะสามารถเบิกความเสียหายเหล่านี้กับทางโรงงานได้หรือไม่ในขณะนี้
หากตีวงแคบเข้ามาในรัศมี 2 กิโลเมตร ก็จะมีที่อยู่อาศัยรวมกัน 10,197 หน่วย รวมมูลค่า 50,332 ล้านบาท หากเกิดการด้อยค่าลงไปเพียง 5% เพราะประชาชนบางส่วนอาจรู้สึกไม่มั่นคงในการอยู่อาศัย และอาจต้องใช้เวลาในการทำให้มลพิษเจือจางลง ทำให้การซื้อขายไม่คล่องตัวเช่นแต่ก่อน โดยนัยนี้ ก็อาจทำให้ที่อยู่อาศัยโดยรอบโรงงานหมิงตี้นี้เกิดการด้อยค่าลงไปประมาณ 5,166 ล้านบาท
นายโสภณ กล่าวต่อว่า ในปัจจุบันที่อยู่อาศัยส่วนใหญ่ขายไปหมดแล้ว คาดยังมีโครงการที่อยู่อาศัยรอขายอยู่ในพื้นที่นี้ไม่มากนัก แต่ก็อาจส่งผลกระทบส่วนหนึ่งทำให้คนเข้ามาซื้อขายลดลง ราคาเรียกขายของโครงการจัดสรรก็อาจลดลงหรือไม่เพิ่มขึ้นเท่าที่ควร ทำให้ระยะเวลาในการขายทอดยาวมากขึ้น บางคนอาจจะพยายามยืดการโอนออกไป ทำให้เกิดปัญหาด้านการเงินต่อผู้ประกอบการ อย่างไรก็ตามบริเวณนี้ก็เป็นเพียงพื้นที่เล็กๆ ไม่ส่งผลกระทบต่อภาพรวมที่ในขณะนี้ แม้จะไม่มีปัญหานี้ ก็ยังขายค่อนข้างช้าอยู่แล้ว
สำหรับโครงการที่อยู่อาศัยที่ขายอยู่ในขณะนี้ มีจำนวนหน่วยขายเหลืออยู่ 5,031 หน่วย โดยแยกเป็นทาวน์เฮาส์ 1,957 หน่วย บ้านเดี่ยว 1,844 หน่วย บ้านแฝด 723 หน่วย และห้องชุด 478 หน่วย ทั้งนี้มีมูลค่าของหน่วยรอการขายอยู่เป็นเงิน 31,879 ล้านบาท แยกเป็นบ้านเดี่ยว 21,006 ล้านบาท บ้านแฝด 4,118 ล้านบาท ทาวน์เฮาส์ 6,351 ล้านบาท อาคารพาณิชย์ 237 ล้านบาท และห้องชุดเพียง 167 ล้านบาทเท่านั้น ที่อยู่อาศัยกลุ่มนี้น่าจะได้รับผลกระทบโดยตรง เพราะยังอยู่ในมือของผู้ประกอบการ และอาจทำให้เกิดการชะงักงันของการโอนและการผ่อนชำระ
เมื่อดูในระยะยาว การระเบิดคราวนี้คงไม่ส่งผลกระทบมากนักเพราะที่ดินและอสังหาริมทรัพย์มีธรรมชาติที่เชื่องช้า (Inertia) ทำให้การเปลี่ยนแปลงราคาไม่รวดเร็วเช่นหุ้นหรือเงินตรา อย่างไรก็ตามรัฐบาลก็ควรมีมาตรการในการป้องกันให้ดีกว่านี้
หน้า 20 ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 3,696 วันที่ 15 - 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2564